ครั้งแรก! ไทยจัดแข่งคนงีบหลับกลางวันเร็วที่สุด

จัดแข่งหลับเร็ว! ฝึกงีบหลังมื้อกลางวัน (ไทยโพสต์)
จัด แข่งงีบหลับครั้งแรกในประเทศไทย ใช้เครื่องตรวจคลื่นสมองตัดสิน ผู้เข้าสู่ระยะหลับตื้นก่อนชนะ แพทย์แนะผู้นอนหลับไม่ถึง 7-8 ชั่วโมงต่อวัน งีบหลับหลังอาหารกลางวัน 10-15 นาที ช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมทำงานได้เต็มที่ รณรงค์ง่วงอย่าขับ ป้องกันหลับในขณะขับรถ
เมื่อวันที่ 5 เมษายน มีการแข่งขันนั่งงีบหลับหลังอาหารกลางวันครั้งแรกในประเทศไทย จัดโดยโครงการง่วงอย่าขับ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มูลนิธิรามาธิบดี ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีกติกาคือ ผู้แข่งขันที่สามารถงีบหลับได้เร็วที่สุดภายในเวลา 20 นาทีเป็นผู้ชนะ โดยกรรมการจะใช้เครื่องตรวจคลื่นสมองแบบอัตโนมัติ ผลงานการประดิษฐ์คิดค้นของนักศึกษาและอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ ม.มหิดล นำมาตรวจวัดสัญญาณสมองที่บ่งบอกถึงระดับการงีบหลับได้อย่างแม่นยำและตรงตาม มาตรฐานการนอนหลับในทางการแพทย์
โดย นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ ประธานกรรมการทุนง่วงอย่าขับ กล่าวว่า การแข่งขันงีบหลับจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 5-7 เมษายน เวลา 12.00-15.00 น. ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 โซนเอเทรี่ยม
สำหรับ จุดประสงค์ของโครงการนี้ เพื่อรณรงค์ให้ภาครัฐและประชาชนเห็นความสำคัญของการนอนหลับ เนื่องจากปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่นอนหลับไม่เพียงพอ จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างพบว่า ร้อยละ 40 นอนหลับไม่ถึงวันละ 7-8 ชั่วโมง ส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งการเรียนหนังสือและการทำงานด้อยประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถยนต์ที่อดนอนมีโอกาสที่จะหลับในและประสบอุบัติเหตุบาด เจ็บหรือเสียชีวิต ดังนั้นจึงขอแนะนำผู้นอนไม่เพียงพอเริ่มงีบหลับเป็นระยะเวลา 10-15 นาทีช่วงหลังอาหารกลางวัน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอและตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าและพร้อมที่จะทำงานต่อได้ทันที
ประธาน กรรมการทุนง่วงอย่าขับ กล่าวต่อว่า การงีบหลังหลังอาหารกลางวันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมองด้าน ความจำ ช่วยให้เรียนดีและฉลาดขึ้น เพิ่มความสามารถและลดความผิดพลาดในการทำงาน ช่วยลดอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติงานอันตราย ป้องกันหลับในขณะขับรถ ช่วยให้อารมณ์แจ่มใส ลดความหงุดหงิดและคลายความเครียด นอกจากนี้ การงีบหลับยังช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดอีก ด้วย
ทั้งนี้ นาฬิกาชีวิตของคนเรา ช่วงเวลานอนหลับจะหมุนเวียนเป็นวงรอบ ในแต่ละรอบของการนอนแบ่งออกเป็น 5 ระยะ เริ่มต้นด้วยระยะที่ 1 ครึ่งหลับครึ่งตื่น ระยะที่ 2 หลับตื้น ระยะที่ 3-4 หลับลึก และระยะสุดท้ายเป็นช่วงฝัน โดยทุก 1 รอบมี 90 นาที ถ้าหากนอน 7-8 ชั่วโมงก็จะหมุนเวียนประมาณ 5 รอบ สำหรับผู้นอนไม่เพียงพอให้งีบหลับจนเข้าสู่ระยะที่ 2 หลับตื้น เมื่อตื่นขึ้นจากช่วงที่หลับตื้นก็จะทำให้รู้สึกสดชื่น ไม่รู้สึกง่วงหรืออยากนอนต่อ
"การงีบหลับเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 2 หลับตื้นเป็นเวลา 10-15 นาที จึงจะเป็นการงีบหลับที่เพียงพอ ได้ประโยชน์เต็มที่ แตกต่างจากการนอนเข้าสู่ภาวะหลับลึกระยะที่ 3-4 ถ้าหากปลุกให้ตื่นขึ้นก็จะรู้สึกมึนงง งัวเงีย และใช้เวลานานหลายนาทีกว่าจะกลับเข้าสู่สภาพปกติ" นพ.มนูญกล่าว
ส่วนการแข่งขันงีบหลับโดยใช้เครื่องตรวจคลื่นสมองเพื่อวัดระดับการงีบหลับ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ ม.มหิดล ที่ปรึกษาทีมวิจัยสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยประดิษฐ์เครื่องตรวจวัดความผิดปกติทางการนอน เช่น นอนกรน นอนหลับไม่พอ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางกายภาพ ลิ้นไก่อุดช่องคอ ภายหลังได้ร่วมมือกับทุนง่วงอย่าขับเพื่อสร้างเครื่องตรวจคลื่นสมอง เป็นอุปกรณ์ที่วัดปริมาณการพักผ่อนของร่างกายโดยอิงจากสัญญาณสมองขณะงีบหลับ เทียบกับเวลาที่ใช้ในการนอนแต่ละระดับ โดยเครื่องจะตรวจจับคลื่นสัญญาณสมองที่ประกอบด้วยคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน ในแต่ละความถี่จะบ่งบอกถึงระดับการนอนหลับในระยะต่าง ๆ
"ระดับ ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการงีบพักผ่อนหลังรับประทานอาหารกลางวันคือ ระยะที่ 2 หลับตื้น จากการใช้เครื่องมือนี้ทดสอบกับนักศึกษา 30 คน ผลปรากฏว่า ผู้ที่ตื่นจากการงีบหลับจนถึงระยะที่ 2 จะทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าและหายง่วงทันที นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังสามารถส่งเสียงปลุกผู้ใช้ให้ตื่นขึ้นโดยอัตโนมัติ" ดร.ยศชนันท์เผย
http://health.kapook.com/view24960.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น