บทที่ 2
ผมก็คนธรรมดา
ผมเป็นคนธรรมดา คนทำงานหนักธรรมดาคนหนึ่ง แต่งตัวก็ง่ายๆ ต้องทำงานหนัก,ต้องถูกเคี่ยวเข็ญ,ต้องทำงานยากๆ มีอารมณ์เสียบ้างเป็นบางครั้ง
ประโยคข้างบนนี้มีอะไรที่มันขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ผมรู้ครับว่าตัวเองก็ไม่ได้ยึดติดอะไรอยู่กับมันมากนักหรอก แม้ว่าถ้าผมจะสามารถแยกระบบประสาทของตัวเองออกเป็นส่วนๆได้ แล้วมาอธิบายได้ถึงระบบสั่งการของสมองกันได้ทุกระบบ และสัญญาณที่ถูกส่งต่อมายังกล้ามเนื้อ และจากตรงนี้ไปสู่หัวใจ ผมไม่แน่ใจหรอกว่ามันจะเป็นแผนที่ที่มีค่านัก ผมไม่ได้เก่งกาจในด้านการสำรวจตัวเองเท่าไรเลย อย่างหนึ่งก็คือมันใช้เวลามาก และอีกอย่างหนึ่งก็คือผมมีความสงสัยอยู่ว่ามันน่าจะเป็นความลับเก่าแก่อยู่ในตัวผมเอง เป็นเรื่องของการเอาตัวรอด เป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตในวัยเยาว์ ซึ่งทั้งหมดนี้แหละที่ได้มาหล่อหลอมกันเพื่อจุดประสงค์เดียว นั่นคือการทำให้ผมปั่นจักรยานได้
ขณะเดียวกันผู้คนก็หวังจะเข้าใจว่าภายใต้ความแข็งแกร่งนี้ผมยังเป็นคนอ่อนไหวได้ในหลายๆครั้ง และเมื่อผมพูดบางอย่างออกมาเช่น “งั้นรึ?” ความหมายที่แท้จริงของมันก็คือ “ผมเอาจริงเอาจังมากกว่าที่คุณเห็นนะ” แต่มันอาจจะทำให้เหน็ดเหนื่อยหน่อยล่ะครับกับการที่จะมาคอยหาความหมายกับตัวของผม
เราสงสัยกันนักว่าทำไมเราถึงได้เป็นกันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ส่วนใดของตัวตนของเราที่ได้ถูกต่อเติมขึ้น,ส่วนใดที่เราสร้างขึ้นด้วยตัวเองหรือว่าสิ่งใดที่เราได้มันมาตั้งแต่เกิด? คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะตอบ เรารับรู้การเป็นตัวตนของตัวเองได้ก็ด้วยจากความสัมพันธ์ที่มีต่อคนอื่น เช่นพ่อแม่,คนรัก,ศัตรู,เจ้านาย,ลูกๆ สิ่งที่การรอดจากมะเร็งได้สอนคุณก็คือความสามารถในการพึ่งพาคนอื่นของคุณเอง ไม่ใช่แต่เพียงว่าได้รู้จักความหมายของตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อการอยู่รอดด้วย มะเร็งจะปล้นเอาความเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้ของคุณไป คุณต้องพึ่งพาทั้งเพื่อน,ครอบครัวและคนแปลกหน้า,ทั้งหมอและพยาบาลผู้เห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และในที่สุดเมื่อคุณรอดพ้นจากเงื้อมมือมัน คุณก็จะไม่รู้สึกง่ายๆสบายๆอีกต่อไปกับตำแหน่งแห่งที่ของคุณในหมู่มวลมนุษย์
บางครั้งเราก็รู้จักความหมายของตัวเองได้โดยผ่านทางบุคคลที่เราไม่เคยรู้จัก ซึ่งเป็นได้ในกรณีของแซลลี่ รี้ดกับผม ถ้าไม่มีมะเร็ง มันก็จะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆเกิดขึ้นเลยระหว่างนักแข่งจักรยานกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้วัยประมาณห้าสิบกว่าๆคนนี้ ผู้ที่เอาแต่นั่งดูแต่ทีวีรายการช่วงกลางวัน อย่างที่เธอพูดอย่างติดตลก เราเป็นคนแปลกหน้ากันอย่างสิ้นเชิงในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 1999 แต่เส้นทางชีวิตของเราต่างก็พุ่งมาบรรจบพบกันได้อย่างที่แซลลี่พูดว่ามันเป็นเหมือน “การลัดฟ้ามาหากัน” ของเราสองคน ตอนนั้นผมกำลังอยู่ในเส้นทางสู่ชัยชนะครั้งแรกของตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ขณะเดียวกับที่แซลลี่ก็ถูกตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง หลังจากที่เธอเข้าทำเคมีบำบัดครั้งแรก เพื่อนของเธอได้บอกให้เปลี่ยนช่องมาดูผมขี่จักรยานในตูร์ฯ เพราะว่าผมกลับมาแข่งจักรยานได้อย่างน่าทึ่งหลังหายจากมะเร็ง
ตอนนั้นผมเองก็เพิ่งจะตั้งมูลนิธิแลนซ์ อาร์มสตรองขึ้นมาใหม่ๆ และอาสาสมัครที่นั่นซึ่งรู้จักกับแซลลี่ได้ขอให้ผมเซ็นชื่อในโปสเตอร์เพื่อสุภาพสตรีที่แสนดีคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ชานเมืองออสตินและกำลังต่อสู้กับมะเร็งเต้านมด้วย ซึ่งผมก็เซ็นให้แต่โดยดี
ผมเขียนข้อความให้เธอว่า ”จงกล้าเข้าไว้ และสู้ตายเลยนะครับ”
แซลลี่เอาโปสเตอร์นี้ไปติดไว้ในครัวของเธอ แล้วเธอก็มองมันทุกวันในช่วงที่ต้องทนอยู่กับระยะเวลาหกเดือนแห่งการฉายรังสีและการทำเคมีบำบัด เมื่อเธอจบสิ้นกระบวนการฉายรังสีในเดือนธันวาคมปี 99 เธอก็เริ่มทำงานอาสาสมัครให้กับมูลนิธิ แม้ว่าเส้นผมของเธอจะยังไม่ขึ้นดี แต่เธอก็มาโดยไม่ขาดเลยสักวันตลอดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ขับรถยนต์ไปกลับเป็นชั่วโมงเพื่อที่จะมาตอบจดหมายและคำขอจากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งจากทั่วโลก เธอกลายเป็นอาสาสมัครที่ทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยในสำนักงาน ต้องแจกจ่ายข่าวสารไปทั่ว,ต้องให้คำแนะนำและกำลังใจคนอื่นๆ
ที่นับว่าแปลกมากก็คือตลอดเวลาอันยาวนานนี้เราไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตากันเลยสักครั้ง ผมเคยได้ยินเรื่องราวของเธอแล้วเธอก็รับรู้เรื่องราวของผม แต่เราก็ยังไม่เคยเจอกันอยู่ดี ผมมักจะไปที่มูลนิธิในวันพุธและวันศุกร์ แต่เธอกลับไม่อยู่เสียนี่ หลังนั้นไม่นานแซลลี่ก็เริ่มจะสร้างเรื่องโจ๊กขึ้นมาว่าผมไม่มีตัวตน ครั้งหนึ่งเธอทิ้งหนังสือ “เรื่องของกำลังใจ ไม่ใช่แค่จักรยาน”เอาไว้ให้ผมเซ็นชื่อ พร้อมกับโน้ตข้อความว่า “ฉันทิ้งหนังสือเอาไว้แต่ฉันก็ไม่แน่ใจนะว่าคนเขียนมันจะยังมีตัวตนอยู่”
เธอเริ่มทำ”แผนภูมิแห่งการได้เห็นแลนซ์”เอาไว้บนกระดานเขียนแบบลบได้ในห้องพักอาสาสมัครสำหรับมะเร็ง เธอตีตารางแสดงวันที่,สถานที่และเวลาในแต่ละครั้งที่มีผู้ได้เห็นแลนซ์ ช่องหนึ่งมีข้อความว่า “พยานแห่งการพบเห็น” อีกช่องหนึ่งก็เขียนว่า “ข้อพิสูจน์เกี่ยวกับการได้พบเห็น” และข้อความอื่นๆอีก ในที่สุดมันก็เลยกลายเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาประจำมูลนิธิไป
กระดานนี้เต็มไปด้วยข้อความแสดงการได้พบเห็นแลนซ์เต็มไปหมด อาสาสมัครทุกคนได้เข้ามาเติมข้อความในช่องของตัวเองทุกครั้งที่ผมไปแวะที่นี่ แต่แซลลี่และผมก็ยังไม่มีโอกาสได้พบกันอยู่ดี เธอชอบจะเล่าเรื่องโจ๊กเสมอว่าแม้แต่คนส่งนมเองก็ยังได้มาลงชื่อว่าเห็นแลนซ์ อาร์มสตรอง แต่เธอเองกลับไม่มีโอกาส บ่ายวันหนึ่งสามีของเธอได้พบผมกำลังขี่จักรยานซ้อมอยู่ แซลลี่ก็เลยต้องมาเพิ่มประเภทของการพบเห็นเข้าไปอีกว่า “พบเห็นโดยตัวแทน”
ในที่สุดเมื่อเวลาล่วงเลยมาเกือบปี ผมก็ได้ไปแวะที่มูลนิธิ แล้วก็จึงได้เขียนโน้ตเสียบเอาไว้ในกล่องรับจดหมายของเธอว่า “ผมอยู่นี่นะ แล้วคุณล่ะอยู่ที่ไหน” นี่แหละข้อความ แล้วผมก็เพิ่มเติมลงไปอีกว่า “เมื่อเขาให้ผมหยุดเดินทางนั่นแหละคุณถึงจะได้เห็น ช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมผมไม่ต้องไปไหน แล้วเราค่อยมาพบกันนะครับ”
แซลลี่ยังไม่วายจะเพิ่มช่องเขียนข้อความลงไปอีกช่องหนึ่ง มีหัวเรื่องว่า “พบเห็นจดหมายของแลนซ์”
ประมาณเดือนหนึ่งให้หลัง ผมก็ได้เข้าไปในเมือง และได้เข้าไปที่สำนักงานของมูลนิธิ ผมผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วตะโกนว่า “คุณแซลลี่อยู่ไหนครับ?”
เธออยู่นั่นเอง ต้องใช้เวลาเป็นพันๆชั่วโมงที่มูลนิธินี่ก่อนที่เราจะได้พบกันแบบตัวต่อตัว เราตรงเข้าสวมกอดกันและรู้สึกถูกชะตากันมากทีเดียว เธอเป็นคนหน้าตาแจ่มใสและน่ารักอย่าที่ผมคาดเอาไว้ไม่มีผิด แต่ก็ดูเป็นคนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เธอเป็นภรรยาและแม่ที่ดีซึ่งชีวิตได้ถูกมะเร็งเต้านมเล่นงานเอาอย่างหนักไม่ใช่เพียงครั้งเดียว แต่ถึงสามครั้งด้วยกัน พี่สาวอีกสองคนของเธอเองก็เป็นโรคนี้ด้วย เราได้ไปเยี่ยมทั้งคู่อยู่ไม่นานนัก ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของมูลนิธินิดหน่อย เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกแข็งแกร่งได้ยังไง แล้วเราก็คุยกันถึงเรื่องรถยนต์ เพราะเราทั้งคู่ต่างก็บ้ารถเร็วๆเหมือนกัน
แต่เรากลับไม่ค่อยได้พูดคุยกันถึงเรื่องตัวมะเร็งเองนัก ผมก็บอกไม่ถูกหรอกครับว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นได้ว่าเราทั้งคู่ต่างก็เข้าใจในเรื่องนี้ได้เท่าๆกัน หรือว่ามันก็อาจจะเป็นไปได้ด้วยที่เราต่างก็ชินชาแล้วกับการอยู่ในห้วงนึกคิดถึงมันแต่เพียงลำพัง มีคนเพียงไม่กี่คนนักหรอกในชีวิตของเราที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งได้ถึงประสบการณ์ทำนองนี้ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเราเลือกที่จะไม่พูดถึงความสยดสยองของมันอีก สิ่งที่สำคัญก็คือความสัมพันธ์ และโดยผ่านทางแซลลี่ ผมก็สามารถเชื่อมต่อความสัมพันธ์กับคนอื่นได้เช่นเดียวกัน เธอได้ส่งข่าวสารและรับคำร้องขอจากคนทุกคนที่เป็นมะเร็ง เธอได้ทำให้พวกเราได้รู้จักกัน สิ่งที่เราทั้งคู่เข้าใจตรงกันก็คือมันเป็นบ่อเกิดแห่งความแข็งแกร่งให้กับบางคนที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เพื่อจะได้รู้จักกับคนที่ได้หายจากโรคนี้แล้ว ประสบการณ์ที่มีร่วมกันนี้ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น แซลลี่บอกว่าถ้าเราได้ให้ความหวังกับคนไข้คนหนึ่งแม้เพียงห้านาที “นั่นก็ถือว่าเราได้สร้างสิ่งที่ดีงามที่สุดให้เกิดขึ้นแล้ว”
บางครั้งการที่คนบางคนไม่ได้อยู่ให้เราเห็นมันก็ทำให้คำถามว่าเราคือใครนั้นทวีความยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก ผมไม่เคยรู้จักพ่อแท้ๆของตัวเองเลย เอ็ดดี้ กันเดอร์สันอาจจะเป็นเพียงใครก็ไม่รู้ที่ได้บริจาคดีเอ็นเอเอาไว้ให้ผม เขาจากแม่ไปไม่นานนักหลังจากผมเกิด แล้วเขาก็ต้องจำยอมรับฐานะพ่อให้กับแม่ผมตามกฎหมาย ทั้งแม่และผมไม่เคยพูดถึงเขา ผมเคยได้อ่านเรื่องราวในหนังสือพิมพว่าครั้งหนึ่งเขาพยายามที่จะติดต่อผมหลังจากตูร์ฯ ปี 1999 แต่ผมไม่ตอบสนอง แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะรู้จักกับเขาเลยสักนิด ไม่อยากจะเห็นหน้าด้วยเหมือนกัน นั่นคือราคาที่ผมต้องจ่าย เขาคือผู้ที่กำความลับเอาไว้ เขาคือคนที่มีคำตอบเอาไว้สำหรับคนที่ต้องการ ผมจึงตั้งใจเอาไว้เลยว่าจะต้องค้นหาความหมายของครอบครัวผ่านทางลูกๆของตัวเอง ด้วยการมองไปข้างหน้า ไม่ใช่มองย้อนกลับไป
บางครั้งคนๆหนึ่งก็สามารถเป็นได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ และนั่นก็คือแม่ของผม ท่านเป็นได้ทั้งพ่อและแม่แล้วยังเป็นเพื่อนที่แสนดีด้วย ทั้งหมดนี้ประกอบขึ้นเป็นหญิงร่างสูง 5 ฟุต 3 นิ้ว กระนั้นก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เป็นได้อย่างนี้ “ลูกเป็นคนที่รอดชีวิตได้เสียก่อนที่จะมาเป็นมะเร็งเสียอีกนะ” ท่านบอก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆมันก็ต้องเป็นเพราะแม่นั่นเองแหละครับ เพราะท่านหาเลี้ยงครอบครัวด้วยเงินเดือนของเลขานุการ และท่านพยายามมองหาลู่ทางเสมอเพื่อให้ชีวิตของเราทั้งคู่ดีขึ้น “ถ้าอะไรก็ตามมันน่าจะดี ลูกก็น่าจะทำมัน” ท่านชอบบอกกับผม
เมืองพลาโนคือเมืองเล็กๆที่มีแต่คนรวยๆอยู่ ครอบครัวอื่นๆเขาก็มีปัจจัยที่ตัวเองต้องการมากมายเมื่อเปรียบเทียบกับครอบครัวเรา ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เราอยากจะซื้อ เราก็ต้องหาเงินมา ผมไม่ได้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการหรอก แต่ก็ขอบคุณแม่ที่ทำให้ผมมีพอ
ตอนนี้ผมเป็นพ่อคน ผมจึงเข้าใจล่ะว่าแม่ต้องการจะให้สิ่งต่างๆกับผมมากแค่ไหน ผมยังเข้าใจด้วยถึงความกังวลทุกข์ร้อนต่างๆที่ท่านมีกับผม----ผมเจ็บตัวบ่อยๆตอนเด็กๆ จากจักรยานคว่ำและเรื่องเสี่ยงเจ็บตัวมากมาย แม่หัวเราะเสมอกับความห่วงใยของผมที่มีต่อลูกๆของตัวเอง “ทีนี้ฉันเลยได้เห็นบางอารมณ์ของลูกชายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน” แม่บอก แม่ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าถ้าตอนนี้ผมได้เป็นพ่อคนแล้วผมอาจจะอยากกลับไปรำลึกถึงอดีต นั่นน่ะซิ ผมก็สงสัยเหมือนกัน
ผมไม่เคยมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วหรอกครับ บางครั้งเพื่อนๆก็ถามเหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่อยากไปขุดคุ้ยอดีตบ้างเลย “ผมไม่ชอบถอยหลังเข้าคลองน่ะ” ผมบอก “รู้ไปก็ปวดหัว” เพราะการมองย้อนกลับไปข้างหลังมันไม่ใช่ธรรมชาติของผม ผมค้นหาตัวเองบนอานจักรยาน จ้องไปแต่ข้างหน้าด้วยความเร็วสูง สิ่งที่ผมรู้ดีที่สุดก็คือการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเท่านั้น
ตอนที่ยังเด็กๆอยู่ ผมปั่นจักรยานเพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่ต่อมาผมต้องขี่เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าผมสามารถรอดได้ และเพื่อสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับคนขี้สงสัยที่ทิ้งผมไว้ให้ตาย แต่ตอนนี้อะไรคือแรงบันดาลใจเล่า? อะไรเล่าที่จะมายึดผมเอาไว้กับอานได้ตั้งห้าหกชั่วโมง เมื่อเหนื่อยจนเห็นหิมะกลายเป็นสีดำ? นั่นแหละครับคือเหตุผลที่ผมต้องเผชิญในการแข่งขันตูร์ เดอ ฟร็องซ์เมื่อปี 2000 ผมมีความมุ่งมั่นมากมายเพื่อที่จะเอาชนะตูร์ฯให้ได้อีกครั้ง เรื่องจะพอใจกับแค่ชัยชนะครั้งอดีตมันไม่ใช่ผม นักกีฬาจะต้องไม่ยึดติดอยู่กับอดีต เพราะนั่นย่อมหมายความว่าคุณจบเห่แล้ว นักกีฬาต้องอยู่กับปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น
ผมประจักษ์กับสิ่งนี้ดีด้วยตัวเอง หนทางที่ชัวร์ที่สุดที่จะให้ผมทำอะไรก็คือต้องบอกผมว่าผมทำไม่ได้ บอกผมเถอะว่าผมเอาชนะตูร์ เดอ ฟร็องซ์อีกครั้งไม่ได้หรอก แล้วผมก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเอาชนะตูร์ เดอ ฟร็องซ์ให้ได้อีก ในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิปีนั้นคนทั่วไปกำลังมีความสงสัยว่าผมจะทำมันได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลหลายประการ ประการหนึ่งก็คือการมีชัยชนะจากตูร์ฯได้ทำลายนักจักรยานไปแล้วมากมาย มันทำให้เขาหลงไหลได้ปลื้มแล้วก็ทำลายอาชีพการงานของเขาเสีย และในตอนนี้ผมก็ได้รู้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
โดยทั่วๆไป สิ่งหนึ่งที่นับว่าทำได้ยากที่สุดในโลกก็คือการทำมันให้ดีได้สองครั้ง เมื่อคุณได้ทำมันลงไปแล้วครั้งหนึ่ง มันก็ยังไม่ค่อยมีเหตุผลนักที่จะทำมันให้ได้อีก เพราะว่ามันอาจจะมีสิ่งอื่นๆอีกหลายสิ่งให้คุณทำแทน นี่เป็นความจริงกว่าที่ผมอยากจะยอมรับเสียอีก ตอนนั้นผมกำลังต่อสู้เพื่อรักษาสมดุลให้ได้ระหว่างบ้าน,งาน,การฝึกซ้อม และการดำเนินธุรกิจ นับวันก็จะยิ่งยุ่งขึ้นเรื่อยๆไม่ใช่จะยุ่งน้อยลง และผมก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อปรับตัวให้ได้กับความรับผิดชอบใหม่ๆ กับทั้งครอบครัวตัวเอง,กับการเป็นผู้รณรงค์ต่อต้านโรคมะเร็ง,การขี่จักรยานและการทำธุรกิจ
เมื่อใดก็ตามที่ผมทุ่มเทกับด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป ผมก็ดูเหมือนจะละเลยในด้านอื่นๆอีกหลายๆอย่าง โดยเฉพาะคิคและลุค ไม่มีอะไรเลยที่จะกล่าวได้ว่ามันเป็นงานประจำ แล้วเรื่องความน่าปวดหัวทางธุรกิจ,จราจรติดขัด,การทำมาหากินประจำวันที่ยุ่งเหยิงนี้ก็กินเวลาให้หมดไปได้อย่างรวดเร็วในวันหนึ่งแล้วมันก็ขัดขวางความรู้สึกอันแจ่มใสซึ่งผมต้องมีเสียสิ้น
ผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังแบ่งพลังงานไปใช้ในหลายๆรูปแบบในบ่ายวันหนึ่ง เมื่อผมยืนอยู่บนสนามกอล์ฟแล้วพยายามจะเล่นให้ได้เก้าหลุมอย่างสบายๆ เมื่อผมพยายามมองไลน์เพื่อพัทลูก ผมก็ถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ข้างๆหู พยายามทำธุรกิจอันเกี่ยวกับยางจักรยานใหม่ “ถือหูไว้ก่อนครับ” ผมบอก แล้วก็วางโทรศัพท์ลงกับสนามหญ้า รีบพัดลูกกอล์ฟ แล้วก็กลับเข้าสู่การคุยธุระ
อีกวันหนึ่งผมก็กำลังรีบกระหืดกระหอบเข้าไปในสนามบินออร์ลันโด เหงื่อท่วมตัวและมีจักรยานของตัวเองพับอยู่ในกล่องกระดาษขณะที่กำลังพยายามจะขึ้นเครื่องบินไปนิว ยอร์คเพื่อประชุมทางธุรกิจ ตอนนั้นผมคิดว่าน่าจะมีเวลาว่างสักสองชั่วโมงที่จะได้ขี่จักรยานเล่นในเซ็นทรัล พาร์คได้ แต่ในที่สุดก็ต้องทิ้งจักรยานเอาไว้ที่สนามบินนั่นเอง เพราะผมมาขึ้นเครื่องบินสายเสียแล้ว ผมทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากถามหาที่นั่งกับแอร์โฮสเตสได้ เรื่องอย่างนี้คงต้องพอเสียทีแล้ว ผมคิด
ผมไปพบกับเพื่อนคือลี วอล์คเกอร์ แล้วเราก็คุยกันเรื่องการทำธุรกิจ ว่าจะทำยังไงดีที่จะลดหย่อนสัญญาบางอย่างได้โดยที่ตัวเองและคนอื่นๆก็ไม่เสียความรู้สึก ลีได้ช่วยให้ผมเข้าใจกระจ่างขึ้นว่าตารางเวลาที่วางเอาไว้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
“ตารางเวลานะ” ลีชอบพูดอย่างนี้ “มันก็คือการประกาศความตั้งใจของตัวเองออกไปให้คนอื่นๆเขาได้รับรู้แล้ว”
ผมรู้จักกับลี วอล์คเกอร์เหมือนกับที่ใครๆต่างก็รู้จักกับเขา ลีคือหนึ่งในคนที่นับว่าเป็นคนสุขุมรอบคอบที่สุด เขาเคยเป็นประธานบริษัท เดล คอมพิวเตอร์ ซึ่งหันหลังจากสิ่งที่เคยมีทั้งหมด แล้วก็เดินท่อมๆอยู่กับกางเกงยีนส์เก่าๆ,รองเท้ากีฬาปอนๆและสวมหมวกปีกกว้าง เขาให้ได้ทั้งเงินทองและคำแนะนำดีๆ ลีใช้ชีวิตของเขาทุกๆวันในชุดสูทผูกไท จนกระทั่งเขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วรู้สึกว่าปวดร้าวที่หลังอันเกิดจากอาการไขสันหลังอักเสบ ขณะที่เขาป่วยอยู่เขาก็ได้รู้ว่าเขาไม่ชอบชีวิตแบบเดิมๆ และบางครั้งก็นึกอยากจะให้โรคร้ายนี้มันฆ่าเขาเสีย
หลังจากหายแล้วเขาก็เริ่มใช้ชีวิตใหม่ เขาลาออกจากเดล ขายบ้านหลังใหญ่ของตัวเองในออสติน ได้ทำงานใหม่เป็นการสอนในมหาวิทยาลัยของเท็กซัส เขาอาศัยอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยในบ้านเก่าๆ มีสวนสวย และสำนักงานในกระท่อมห่างออกไป ซึ่งในนั้นมีทั้งกระดานดำใบใหญ่และมีหนังสือเรียงรายอยู่เต็มจนถึงเพดาน เขาได้บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้คนมากมายในออสติน รวมทั้งผมด้วย
เมื่อแรกที่รู้จักกับลีเมื่อก่อนเป็นมะเร็ง เราได้คุยกันส่นใหญ่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ มันเป็นของชอบของผมอยู่แล้ว ผมต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องราวเบื้องต้นของการสร้างความร่ำรวย ผมพิมพ์รายการหลักทรัพย์การลงทุนไปให้เขาด้วยเพื่อที่เขาจะได้พิจารณามันแล้วก็แนะนำผม “คุณไปเก็บไอ้หุ้นบ้าๆนี่เอาไว้ทำไมกัน?” เขาจะถามอย่างนี้ แล้วเราก็คุยกันถึงสิ่งที่ผมได้ขายออกไปแล้ว ทำไมผมถึงต้องช้อนซื้อมัน ซึ่งมันเป็นเรื่องไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก แต่ความสุขของผมก็คือการได้ทำเงินและได้ซื้อนั่นซื้อนี่
แต่ไม่ว่าผมจะคิดว่ามันเป็นความสุขแค่ไหนก็ตาม ไม่นานนักผมก็เริ่มเหนื่อยล้า ผมทึกทักเอาว่ามันเป็นสาเหตุ หรือว่าโยนมันทิ้งไป ทั้งรายการหลักทรัพย์ต่างๆ,รถยนต์ปอร์เช่สิ่งเหล่านี้เคยมีความสำคัญกับผม เหมือนกับเส้นผมบนหัว ซึ่งผมก็เสียมันไปอีก ผมขายรถยนต์,เลิกการลงทุนทางการเงิน และเอาชีวิตให้รอดให้ได้อย่างเดียว ความสุขก็เลยเหลือแค่การได้ตื่นขึ้นมาเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นก็คือทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงไประหว่างผมและลี เราไม่พูดกันถึงเรื่องเงินๆทองๆอีกเลย ยกเว้นแต่คุยถึงมันแต่ในด้านของทฤษฎีเท่านั้น เมื่อเราทั้งคู่เริ่มที่จะเข้าใจ :ความรวยไม่มีทางจะมาเท่าเทียมกับสุขภาพที่ดีได้ เราพูดกันถึงประสบการณ์หลังจากรอดตาย และเกี่ยวกับปริศนาของการได้กลับมามีชีวิตรอด : คุณทนมีชีวิตอยู่กับโรคร้ายขณะที่ยังใช้ชีวิตปกติอยู่ได้อย่างไร รวมทั้งหน้าที่การงานทั้งหมดด้วย? ลีชอบยกถ้อยคำของกวีชื่อแมรี่ โอลิเวอร์มาพูดอยู่เรื่อยว่า “เจ้าจะทำอะไรดีกับกายอันบริสุทธิ์และประสริฐของตนเอง?”
เวลานี้ ทั้งที่เป็นแชมป็ตูร์ฯ และเป็นนักรณรงค์ต่อต้านมะเร็ง ผมก็มีทางเลือกและบทบาทใหม่ๆและน่าสับสนมากมาย ลีบอกผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดมันไม่ใช่เงินหรอกแต่เป็นเวลามากกว่า ผมก็เลยถามว่า จริงๆแล้วผมต้องการอะไรเล่า? ผมต้องการเงิน ก็ใช่ แต่ผมก็ไม่ต้องการที่จะต้องมาเหน็ดเหนื่อยเพราะมัน หรือต้องมาเป็นห่วงกังวลกับเรื่องยุทธศาสตร์การขาย ผมไม่ต้องการจะเห็นหน้าตัวเองติดอยู่บนแผ่นป้ายโฆษณาที่ร้านสะดวกซื้อ และผมก็ไม่ต้องการจะไปเล่นหนังกับเจ้านกการ์ตูนทวีตตี้ด้วย “ผมไม่ได้คิดนะว่าคุณต้องร่ำรวยขึ้น ผมคิดว่าคุณน่าจะมีชื่อเสียงมากขึ้นต่างหาก” ลีบอกอย่างนั้น
ผมได้ตกลงทำธุรกิจสำคัญๆไปไม่กี่รายการ และพยายามจะนึกให้ได้ว่าความกดดันนี้มันเป็นสิ่งที่ผมต้องเผชิญแต่คนเดียว แล้วมันก็ค่อนข้างจะสวนทางกับกระแสความนิยมของสาธารณชน ถ้าจะให้มันสมดุลผมก็แค่หวังว่าจะได้อยู่กับสิ่งที่ผมชอบและมีความเชื่อมั่นในสิ่งนั้น โดยไม่ปล่อยให้มันหลุดลอยไปไม่ว่าจะทั้งเรื่องส่วนตัวหรือหน้าที่การงาน
ในเวลาเดียวกันทุกๆคนในวงการจักรยานต่างก็เฝ้ามองและคิดคำนึงอยู่ว่าความร่ำรวย,การทำธุรกิจและการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆจะทำอะไรกับตัวผมบ้าง มิเกล อินดูเรน นักจักรยานผู้ยิ่งใหญ่ชาวสเปนได้เคยพูดเอาไว้ว่า “นักจักรยานทุกคนที่ชนะจะต้องเจอกับปัญหาเดียวกัน มันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล” หนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์ได้ตีพิมพ์เรื่องราวการทำธุรกิจของผม แล้วก็เรียกผมว่า บริษัทแลนซ์ จำกัด หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสชื่อเลอกีป ก็พิมพ์เรื่องนี้ด้วยพร้อมกับบทแสดงความคิดเห็นในแบบตัวเอนว่าผมใช้เวลามากเกินไปกับการเมคมันนี่ และไม่ค่อยขยันซ้อม
ฝ่ายตรงข้ามกับผมส่วนใหญ่ในวงการจักรยานมักทึกทักเอาว่าชัยชนะจากตูร์ฯเมื่อปี 99 ของผมมันเป็นเรื่องฟลุคครั้งมโหฬาร เป็นแค่เรื่องฟลุคจริงๆ วงการจักรยานปฏิเสธที่จะเชื่อในตัวผมตั้งแต่เบื้องแรกแล้ว และในตอนนี้พวกเขาก็กำลังพากันเชื่ออีกว่าชัยชนะครั้งที่สองนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่นั่นก็เหมือนมาจุดเชื้อไฟให้กับผมเมื่อพวกเขาสบประมาท เพราะเขาได้มอบแรงบันดาลใจใหม่ให้กับผมอีกแล้ว แค่สิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมชนะได้อีก
เมื่อความเคลือบแคลงสงสัยมันมีมาก ตูร์ฯในปี 2000 จึงเป็นการแข่งขันที่มีความสำคัญอย่างมหาศาลสำหรับผม จะว่ามันสำคัญมากกว่าเมื่อปี 99 ก็ได้ สำหรับผม ตำแหน่งที่สำคัญน้อยกว่าตำแหน่งแชมป์ถือว่าเป็นความล้มเหลว “คอยดู” ผมบอกเพื่อนๆ “ผมจะเอาชนะมันให้ได้อีกครั้ง รู้มั้ยว่าทำไม?” ก็เพราะผมคิดว่าผมต้องชนะมันให้ได้ยังไงล่ะ
ผมเริ่มจะมองหาสาเหตุต่างๆที่ใครจะมาก่อกวนผมอีกบนจักรยาน ผมจดจำความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยเอาไว้ทั้งหมด ทุกความเห็นอันไม่เชื่อมั่น หรือทุกความรู้สึกอันไม่แน่ใจที่แสดงออกโดยฝ่ายตรงข้าม และใช้มันเพื่อกระตุ้นตัวเอง ผมเก็บบัญชีนี้ไว้ มันเป็นนิสัยชอบเอาชนะเดิมๆที่ผมมีอยู่ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอาศัยในเมืองพลาโน เมื่อผมไม่มีเงินมากๆอย่างเด็กคนอื่นๆ หรือได้เล่นกีฬาดีๆอย่างคนอื่นเขา (คนเขาไม่ได้มาบังคับคุณหรอกว่าอยู่เท็กซัสแล้วต้องเล่นอเมริกันฟุตบอล แต่เขาก็อยากจะให้คุณเล่น) พ่อแม่ของผมก็ไม่ได้สมบูรณ์พูนสุขเหมือนอย่างคนอื่นเขาเหมือนกัน ผมจึงต้องตกเป็นไก่รองบ่อนอยู่เสมอ แล้วผมก็รู้ว่าถึงวิธีการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ ผมต้องต่อสู้อย่างมากทีเดียว
“ผมมันคนธรรมดา” ผมพูดในฤดูหนาวหนึ่ง “ผมจะแสดงให้คุณเห็น ว่าคนธรรมดาอย่างผมมันทำอะไรได้บ้าง”
แค่สิ่งแรกที่ผมทำในความพยายามจะป้องกันแชมป์ตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ก็เกือบจะทำให้ตัวเองได้กลับบ้านเก่าเสียแล้ว
โลกเรานี้เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งพยายามจะมีความเชื่อมั่นในตนเอง หรือสร้างมันขึ้นมา หรือผู้ซึ่งแค่ทำเป็นวางมาดว่ามี แต่คุณจะแสร้งทำเป็นว่ามีมันไม่ได้หรอก คุณต้องทำมันขึ้นมาเอง ถ้ามาถามผม วิธีการเดียวที่จะได้ผลก็คือการทำงาน คุณต้องทำงาน และนี่ล่ะที่ศึกปี 2000 เริ่มต้นขึ้น เริ่มต้นขึ้นด้วยงานหนักสาหัสสากรรจ์
ในตอนต้นเดือนพฤษภาคม ทีมยูเอส โพสเทิลได้เคลื่อนย้ายไปอยู่ยังบริเวณเทือกเขาแอลป์ และพีเรนีสเพื่อเข้าค่ายฝึกซ้อมอย่างหนัก แนวความคิดก็คือว่าถ้าผมสามารถทนอยู่กับความเจ็บปวด ทรมานร่างกายตัวเองได้มากพอและซ้อมมากพอ มันก็อาจจะไม่มีอะไรเลวร้ายนักในระหว่างการแข่งขันตูร์ฯ เราจึงต้องทำความคุ้นเคยกับเส้นทางที่จะขี่แข่งกันในตูร์ฯเสียก่อน ซึ่งเป็นขั้นตอนแห่งการสำรวจเส้นทาง
การแข่งขันครั้งที่ 87 นี้จะกินระยะทาง 3,638.40 ก.ม. ใช้เวลา 23 วัน วนรอบประเทศฝรั่งเศแบบทวนเข็มนาฬิกา มันเป็นภาระหนักที่ใช้เหตุผลทำความเข้าใจได้ยากครับ แต่ถึงยังไงการแข่งตูร์ฯนี้ก็ได้เริ่มต้นกันมาอย่างนี้แล้วตั้งนานในตอนต้นๆของยุคอุตสาหกรรม หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสได้เสนอเงินรางวัลให้แก่ไอ้โง่คนไหนก็ตามที่สามารถเอาชนะไอ้โง่อีกหลายๆคนได้ในการพยายามจะเดินทางรอบประเทศด้วยจักรยาน แต่แรกแล้วของการแข่งขันที่เต็มไปด้วยกลโกง,อุบัติเหตุหลายครั้งและความพิลึกพิกลหลายอย่าง ตั้งแต่นั้นมามันก็เลยพัฒนามาเป็นมหกรรมกีฬาอย่างเต็มรูปแบบและเป็นเหมือนการเฉลิมฉลองระดับชาติอันมโหรทึก
การแข่งจักรยานนี้นับว่าเป็นกีฬาที่พิลึกเชียวล่ะสำหรับมาตรฐานของคนอเมริกัน เพราะมันเต็มไปด้วยหลักจริยธรรมและกฎเกณฑ์อันยุ่งเหยิงยากที่จะเข้าใจได้ มีทั้งที่ไม่ได้เขียนและที่เขียนเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมากมาย มันเป็นการแข่งขันไล่ล่ากันด้วยความเร็วด้วยจักรยาน ดังนั้นการสำรวจเส้นทางจึงนับเป็นสิ่งสำคัญ
นักแข่งจักรยานหลายๆคนในทีมยูเอส โพสเทิลต้องรับบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป บางคนที่เหมือนกับเพื่อสนิทของผมอย่างเควิน ลิฟวิงสตันจะเป็นคนที่ขี่จักรยานไต่เขาได้เก่ง งานของเขาก็เลยต้องเป็นการช่วยลากผมขึ้นยอดเขาต่างๆด้วยการปั่นอยู่นำหน้าผมเพื่อบังลมให้และคอยช่วยให้ผมปั่นได้เร็วขึ้นด้วยในระหว่างการไต่ ในขณะที่อีกหลายๆคนอย่างเช่นเพื่อนที่แสนดีอีกคนคือจอร์จ ฮินคาพี ที่จะช่วยผมให้สปรินท์ได้อย่างรวดเร็วในทางเรียบ
เพื่อนร่วมทีมของผมอีกหลายคนที่คล้ายๆกับฮินคาพี ทั้งไทเลอร์ แฮมิลตัน และเวียเชสลาฟ เอคิมอฟจากรัสเซียต่างก็เป็นนักปั่นที่ฝีเท้าจัด และมีความสามารถสบายๆที่จะเอาชนะการแข่งรายการสำคัญๆที่ไหนก็ได้ด้วยตัวเอง และมันก็เป็นเหมือนกับคัมภีร์ประจำใจสำหรับการอุทิศตัวของพวกเขา ที่จะต้องขี่อย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยผม ถัดมาก็คือพวกนักจักรยานที่มีอายุน้อยและยังประสพความสำเร็จไม่เท่าพวกแรก ซึ่งจะถูกเรียกว่า “โดเมสที้ค” ซึ่งมีภาระหน้าที่ในการทำทุกอย่างตั้งแต่การก่อกวนคู่ต่อสู้ไปจนถึงการลำเลียงอาหารน้ำและอุปกรณ์มาให้เมื่อผมต้องการ
เสนาธิการของพวกเราหรือดีเร็คเตอร์ สปอร์ติฟ(ผู้จัดการทีม…..ผู้แปล) คือโยฮาน บรูนีลล์ผู้เคยเป็นนักจักรยานดาวรุ่งชาวเบลเยี่ยม ด้วยชื่อเสียงว่าเป็นจอมล้มยักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยชนะการแข่งขันสเตจสำคัญในตูร์ด้วยการเอาชนะอินดูเรนได้ เขาเป็นคนใจเย็นมาก มีดวงตามุ่งมั่นสีเทาและคางบุ๋ม และในฐานะที่เป็นผู้จัดการทีมเขาจึงต้องใจเย็นเป็นพิเศษ ต้องมีพรสวรรค์ด้วยในการวางแผนแข่งและต้องใส่ใจถึงรายละเอียด โยฮานนี่แหละคือผู้ที่ยืนยันให้เรามาเข้าค่ายกันเพี่อทำความคุ้นเคยกับเส้นทางแข่งขัน
เราขี่กันหลายชั่วโมงตลอดช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของยุโรป ในตอนช่วงต้นเดือนพฤษภาคม อากาศบนเทือกเขาอันสลับซับซ้อนของพีเรนีสเปลี่ยนแปลงได้มากระหว่างหนาวเย็นเป็นน้ำแข็งไปถึงร้อนจนตับแตก แต่ว่าเป็นบริเวณด้านหลังของยอดเขาอันห่างไกลยอดหนึ่งที่นี่แหละที่ผมเกือบจะแพ้ตูร์ เดอ ฟร็องซ์เสียแล้วก่อนที่มันจะเริ่มต้นแข่งกันเสียอีก
พวกเราเพิ่งปั่นไต่เขาที่เรียกว่าโกล ดู ซูลูร์ไป เพื่อที่จะฝึกการร่อนลงจากเขามาด้วยความเร็งสูงซึ่งมีความสำคัญ ตอนที่ขี่ไต่ขึ้นไปนั้นแสงอาทิตย์บนยอดเขาแผดเผาเราอย่างหนักจนผมต้องถอดหมวกนิรภัยออกจากหัวโชกเหงื่อแล้วก็เอามันเกี่ยวไว้กับแฮนด์ เมื่อถึงยอดเขาผมก็หยุดขณะที่ช่างเทคนิคของเราคนหนึ่งปรับแต่งแฮนด์ให้ แล้วต่อจากนั้นผมก็ออกปั่น ผมก้มตัวลงแนบกับแฮนด์แล้วก็ร่อนลงมาจากยอดเขา—ทั้งๆที่หมวกนิรภัยก็ยังคงห้อยต่องแต่งอยู่กับแฮนด์นั่นเอง แล้วมันก็เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยเลย
เส้นทางลงทั้งแคบและคดเคี้ยวไปมา มันทิ้งตัวลงมาอย่างลาดชันพุ่งไปทางขวามือของผม โดยมีกำแพงกันดินถล่มวางตัวอยู่ทางซ้ายมือผมเข้าโค้งอย่างแน่วแน่โดยไม่ยอมให้ความเร็วลดลง ผมเข้าโค้งได้โค้งแล้วโค้งเล่า สนุกสนานไปกับการปั่นจนกระทั่ง…….
……..ล้อหน้าของผมชนเข้ากับหินก้อนใหญ่
มันระเบิด
แฮนด์ส่ายไปมาอย่างเปะปะ เหมือนกับว่ามีใครสักคนที่มาเขย่ามันในมือของผม เมื่อยางหน้าระเบิดออกขณะที่คุณกำลังพุ่งลงมาเร็ว 64 กิโลต่อชั่วโมงอย่างนี้ คุณจะไม่มีทางบังคับทิศทางของรถได้หรอกครับ สิ่งที่เมื่อวินาทีที่แล้วมาเคยเป็นยางสมรรถนะสูงและทนแรงหนีศูนย์กลางได้อย่างปลอดภัย ขณะนี้เหลือสภาพเพียงเป็นเศษยางรุ่งริ่งอยู่บนวงล้อคาร์บอนแบนๆ จักรยานผมสั่นเหมือนเจ้าเข้า ล้อหน้าก็พุ่งเข้าหากำแพงป้องกันดิน ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่า ถ้าฉันขี่ให้มันตรงหน่อย บางทีก็อาจจะช้าลงได้พอที่จะ…….
กำแพงนั่นพุ่งเข้ามาหาอย่างเร็วมาก มีร่องน้ำอยู่ข้างหน้ามันและล้อหน้าก็ตกลงไปในนั้นจนผมกระเด็นตกจากจักรยาน หัวของผมคือสิ่งแรกที่กระแทกเข้ากับกำแพง รู้สึกเหมือนกับว่ามีแสงสว่างวาบขึ้นและท้องฟ้าแยกออกเป็นสองส่วนทีเดียว
ผมนอนสิ้นท่าอยู่ในร่องน้ำ ทั้งตกตะลึงและเลือดไหล โยฮานคือคนที่ขับรถยนต์ตามหลังอยู่ และตอนนี้เขาก็ขับมาถึงโค้งนี้แล้วเห็นผมนอนจมกองเลือด มีรอยแผลลึกที่ขากรรไกร หัวก็โนแต่ก็ยังมีสติอยู่ หัวคือส่วนที่รับแรงกระแทกเข้าทั้งหมด น่าประหลาดมากที่ไม่มีร่องรอยใดๆบอบช้ำที่ส่วนไหนของร่างกายอีกเลย เสื้อยืดใส่ขี่จักรยานก็ไม่ยักขาด
ผมได้ยินเสียงคนวิ่งมา แล้วต่อมาก็ได้ยินเสียงหนึ่ง—โยฮานนั่นเอง แล้วก็คนแปลกหน้าคือหมอชาวฝรั่งเศส-แคนาดาสองคนซึ่งพากันมาปิคนิคที่สนามหญ้าใกล้ๆกับกำแพงนั่น พวกเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความตะลึงพรึงเพริดเมื่อตอนที่ผมเอาหัวโหม่งกับกำแพงแล้วก็ร่วงลงมากองเหมือนกองอะไรสักอย่างหนึ่ง
ผมพยายามยันตัวขึ้นนั่ง “นง,นง” หมอคนหนึ่งพูด แล้วเขาก็ผลักตัวผมให้นอนลง อีกคนก็รีบกระโจนไปยังรถของตัวเองเพื่อหาน้ำแข็งเพื่อเอามาประคบหัวให้ผม ผมยังมีสติดีอยู่และรู้เรื่องทุกอย่างแต่ก็มองอะไรนอกร่องน้ำไม่เห็น จำได้ว่าได้ยินเสียงของโยฮานพูดอยู่กับคุณหมอทั้งคู่
“แหมคุณ” หมอคนหนึ่งพูด “ตอนที่เราเห็นเค้าและได้ยินเสียงกระแทกนะครับ เราคิดว่าจะเดินมาเจอคนตายเสียอีก”
แล้วผมก็หมดสติ จำได้อย่างลางเลือนว่ามีรถพยาบาลมานำผมลงไปจากภูเขาเพื่อส่งโรงพยาบาลในเมืองลูร์ดส์ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมต้องเข้าไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มอีกหลังจากหายมะเร็งแล้ว พอประตูเปิด ทั้งกลิ่นของยาต่างๆและยาฆ่าเชื้อก็พากันโชยเข้าจมูก ทำให้ผมรู้สึกทั้งคุ้นเคย,หวาดกลัวและใจเต้นตุ๊มๆต้อมๆอยู่ในอก
ต้องเย็บสองสามเข็มที่หัวทั้งที่หัวและที่ขากรรไกรของผม แล้วเขาก็ต้องกักตัวเอาไว้คืนหนึ่งก่อนเพื่อสังเกตอาการ ผมนอนไม่หลับเลย มีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาถึงแผ่นพลาสติคที่ปูรองอยู่ใต้ผ้าปูที่นอนที่ผมทำให้มันเปียกไปด้วยเหงื่อ วันรุ่งขึ้นผมบินจากนีซกลับไปที่บ้าน คิคมารับผมที่สนามบิน หัวของผมมันดูเหมือนกับว่าจะโตขึ้นมากกว่าเดิมตั้งสามเท่า มีร่องรอยช้ำที่เบ้าตา ทั้งยังมีร่องรอยถลอกปอกเปิกอยู่ทั่วใบหน้า คิคเองก็ยังอ้าปากค้าง
“หน้าตาคุณเหมือนอีเลเฟนท์ แมนเลยนะ” เธอว่า
สี่อาทิตย์ทีเดียวที่ผมต้องนั่งอยู่บนโซฟาที่บ้าน ไม่สามารถจะฝึกหรือแข่งที่ไหนได้ ต้องรอให้หัวตัวเองกลับสู่สภาพเดิมเสียก่อน ผมจึงมีเวลาว่างมากพอที่จะคิดและมันก็ทำให้ผมเกิดความสำนึกผิดว่าไม่จำเป็นเลยสักนิดที่จะต้องมาทำไอ้ความผิดโง่ๆหรือเสี่ยงโดยไม่จำเป็นอย่างนี้ ผมชอบการร่อนลงมา การเทโค้งก็ชอบ แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจแล้วว่าถ้าต้องช้าไป 30 วินาที ก็ช่างมันเหอะ แล้วค่อยเอาคืนทีหลังก็ยังได้
แล้วในที่สุด ด้วยความระมัดระวังผมก็เริ่มต้นฝึกซ้อมอีก การล้มครั้งนั้นทำให้ผมไม่มีโอกาสได้สำรวจเส้นทางที่จะว่าไปแล้วก็น่าจะเป็นครั้งสำคัญเลยสำหรับการไต่ยอดเขาโอตาก็องต์ ซึ่งมันมีชื่อเสียงว่าเป็นยอดแหล่งเล่นสกีตั้งอยู่บนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาใกล้เมืองลูร์ดส์ ที่นี่จะเป็นสเตจไต่เขาสเตจแรกแล้วก็ยังเป็นสเตจที่ยากที่สุดด้วย
ดังนั้นผมจึงต้องย้อนกลับไปที่นั่นอีกครั้ง อากาศตอนนั้นค่อนข้างแปรปรวนและผมก็ขี่ในเส้นทางที่จะใช้แข่งขัน เพียงแต่ว่าตอนนั้นไม่มีคนดูและผมก็ต้องขี่อยู่เพียงคนเดียวโดยมีโยฮานขับรถยนต์ตาม ผมมาถึงเชิงเขาโอตาก็องต์แล้วก็เริ่มต้นที่จะทำท่าเหมือนวิ่งอยู่บนลูกบันได พยายามจะไต่ขึ้นไปตามเชิงเขาอันสูงชัน ผมศึกษาเส้นทางขณะที่ขี่ขึ้นไปด้วย พยายามที่จะเข้าใจให้ได้ว่าตรงไหนที่จะเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ และตรงไหนที่จะประคองตัวเอาไว้ ทั้งหิมะและลูกเห็บต่างก็เทลงมา ลมหายใจเป็นไอน้ำสีขาวพวยพุ่งออกจากปาก
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง ผมก็ขึ้นมาถึงยอด โยฮานจอดรถยนต์และโผล่หัวออกมาจากหน้าต่าง “โอเค แจ๋วเพื่อน ขึ้นรถเหอะ แล้วไปดื่มน้ำชากันนะ” เขาบอก แต่ผมลังเลเพราะไม่ค่อยแฮ็ปปี้เท่าไหร่กับการปั่นของตัวเอง
“ยังไม่ได้เท่าไหร่เลยนะ” ผมบอก
“อะไรวะ ยังไม่ได้เท่าไหร่ของแกน่ะ?”
“ไม่ได้เท่าไหร่ว่ะ ผมยังไม่ค่อยจะไต่ได้ดีเท่าไหร่เลย”
ภูเขาคือสิ่งที่เข้าใจได้ยากจริงๆ ผมเองก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ได้รู้จักเจ้าโอตาก็องต์นี่เท่าไหร่เลย ผมจะไต่มันอีก แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะทำได้เร็วกว่าเดิมหรือเปล่า ในตอนท้ายของการซ้อมปั่นไต่เขานี้ผมอยากจะรู้สึกว่าตัวเองได้รู้จักภูเขาได้ดีขึ้น เพื่อมันจะได้ช่วยได้บ้าง
“ผมยังคิดว่าไม่รู้จักมันน่ะ” ผมบอก “มันไม่ใช่เพื่อนผมนะ”
“มีปัญหาอะไรเหรอวะ?” เขาบอก “ก็คุณปีนมันได้แล้วนี่หว่า มาเหอะ”
“เราต้องกลับลงไปแล้วก็ปั่นขึ้นมาอีก”
ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงทีเดียวที่จะไต่ขึ้นมาได้ แล้วต้องใช้เวลาอีก 30 นาทีเพื่อจะกลับลงไป แล้วผมก็ต้องปั่นขึ้นมาอีกด้วยเวลาอีกเกือบชั่วโมง แต่ครั้งนี้ในตอนเย็นของวันนั้น ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เมื่อผมขี่เสร็จแล้วนั่นแหละจึงรู้สึกว่าผมเอามันอยู่ ที่ยอดเขาโยฮานพบกับผมพร้อมกับเสื้อฝน “กูล่ะไม่อยากจะเชื่อไอ้ที่เห็นนี่เล้ย” เขาว่า”เอาล่ะ กลับบ้านกัน”
คืนนั้นผมส่งข้อมูลที่ได้จากการปั่นไต่ไปให้กับโค้ชส่วนตัวคือคริส คาร์ไมเคิล หลังจากการซ้อมในแต่ละวัน ผมต้องศึกษาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เล็กๆที่ติดอยู่กับจักรยาน ซึ่งจะบอกผมได้ทั้งวัตต์,กำลัง,รอบขา และอัตราการเต้นของหัวใจ ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้ผมเห็นว่าตรงไหนของยอดเขาที่ผมต้องทำงานหนัก และตรงไหนที่ผมจะพักผ่อนได้บ้าง นับเป็นนิสัยของตัวเองไปแล้วที่จะต้องส่งอี-เมลตัวเลขพวกนี้ไปให้กับคริส แล้วเขาก็จะแสดงความคิดเห็นและส่งมันกลับมายังผมอีก
คืนนั้นคริสเปิดดูไฟล์ที่ผมส่งไป และดูเหมือนกับว่ามันจะมีตัวเลขคล้ายคลึงกันอยู่ เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็โทรมาหาผม “มันน่าจะเป็นวันที่แย่หน่อยนะเพื่อน ที่ต้องปั่นอยู่ตั้งเจ็ดชั่วโมงกลางอากาศอย่างนั้น แต่เรี่ยวแรงของคุณมันก็น่าประทับใจนะ” เขาพูด “แต่มีอยู่อย่างหนึ่งนะ ผมคิดว่าไฟล์นี่มันเสียน่ะ เพราะตัวเลขมันดูพิลึกๆนะ”
“มันพิลึกยังไง?” ผมเลยถาม
“มันมีสองชุดว่ะ” เขาตอบ
“ก็แน่ล่ะซิ”
“คุณไต่มันสองหนเหรอ?”
“เออซิ”
คริสเงียบไปหน่อยหนึ่ง
“ไอ้บ้า” เขาบอก
ผมเข้าแข่งตูร์ฯปี 2000 ด้วยเป้าตาวัวแปะเอาไว้ที่หลัง อย่างน้อยก็นั่นแหละคือสิ่งที่ผมรู้สึกได้ นักแข่งทั้งหมดคราวนี้นับว่าแข็งแกร่งมากว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แล้วพวกเขาก็จ้องจะรุมอัดผมด้วย เป็นที่กล่าวขวัญกันว่าผมมันโชคดีที่ชนะในตูร์ฯปี 99 เพราะแชมป์เก่งๆสองคนไม่ได้มาแข่งด้วย แต่ตอนนี้อดีตแชมป์ทั้งคู่ของตูร์ฯ ทั้งมาร์โค ปานตานี่จากอิตาลีและยาน อุลริคจากเยอรมนี ผู้ซึ่งไม่ได้มาแข่งในปี 99ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ ต่างก็มาปรากฎตัวที่เส้นสตาร์ทแล้ว ตอนนี้ล่ะแชมเปี้ยนเต็มไปหมดเลย
อุลริคน่าจะเป็นนักจักรยานผู้มีร่างกายแข็งแกร่งที่สุดในโลก เขาเป็นตัวร่างใหญ่ มีกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ชอบอัดเกียร์หนักๆ เขาไม่ได้มาแข่งในปี 99 เพราว่าเจ็บและต้องต่อสู้กับการควบคุมความฟิตของตนเองให้ได้ แต่ตอนนี้เขากำลังหิวโหย และผู้หิวโหยต่อชัยชนะนี้อันตรายมาก ส่วนนักปั่นมาดเฉียบรูปร่างเพรียวบางอีกคนผู้ชอบโกนหัวและโพกหัวสไตล์โจรสลัด ก็หิวกระหายในรูปแบบที่แตกต่างออกไป เขาไม่ได้มาแข่งในปี 99 เนื่องจากมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการโด๊ปยา และตัวเองก็ต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงในแวดวงกีฬากลับคืนมาให้ได้
ตัวเส้นทางเองก็เป็นอุปสรรคไม่แพ้กัน ที่ต้องเจอแน่ๆก็คือสเตจที่เส้นชัยอยู่บนเขาใหญ่ๆสามสเตจ รวมทั้งอากาศร้อนตับแทบแตก,ฝุ่น,โคลน และฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก นี่ยังไม่นับห้องพักอันแออัดของโรงแรมในหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญอีก
การแข่งขันเริ่มขึ้นด้วยสเตจโปรล็อก อันเป็นระยะทาง 16 กิโลเมตรที่เราต้องแข่งกันผ่านเข้าไปในเมืองสวนสนุกชื่อว่าฟูตูโรสโคป โปรล็อคนี้มี่ความสำคัญตรงที่ว่ามันเป็นการจัดอันดับนักจักรยานทั้ง 200 คน เพื่อเรียงลำดับว่าใครจะเป็นคนออกตัวก่อนหรือหลัง ผลการแข่งขันค่อนข้างจะน่าประหลาดใจ ผมทำเวลาเป็นที่สองรองจากเดวิด มิลลาร์ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันคนหนึ่ง และเป็นคนหนุ่มชาวอังกฤษที่ชอบเสี่ยงภัยซึ่งชอบไปฉลองวันขึ้นปีใหม่ในประเทศต่างๆ
เขาทำเวลาดีกว่าผมสองวินาที ด้วยเวลา 19 นาที 3 วินาที เมื่อผลการแข่งขันได้ถูกประกาศผ่านทางลำโพง เดวิดถึงกับน้ำตานองหน้าทีเดียว ผมผิดหวังในตัวเองแต่ก็ยังชื่นชมกับเขาด้วย คืนนี้แหละที่เขาจะได้หลับไหลไปพร้อมกับเสื้อสีเหลือง
ต่อจากนั้นพวกเราก็ต้องแข่งขันกันเส้นทางที่ราบเรียบและที่ไม่ค่อยจะราบเรียบนักอีกหลายสเตจ มันเป็นการขี่กันอย่างรวดเร็วและเปียกฝน จากเมืองตูร์ส ไปสู่ลิโมโกส และเมืองดาซ์ เราต้องขี่จักรยานกันกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ปราณีปราศรัยตลอดทุกๆวัน สิ่งที่ผมต้องทำให้มากที่สุดก็คือซุกอยู่ในหมู่นักแข่งคนอื่นๆ และหลีกเลี่ยงไม่หาเรื่องใส่ตัวให้มากที่สุดจนกว่าจะถึงสเตจขึ้นเขา
ในสเตจขึ้นเทือกเขานี่แหละที่การแข่งขันจริงๆจะเกิดขึ้นสำหรับคนบางคน และอาจจะจบลงด้วยสำหรับคนอีกหลายๆคน ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้เปรียบกันที่นี่แม้ว่าจะเพียงนิดเดียวก็ต้องทำ สเตจขึ้นเขานี้ถ้าจะว่ากันตามความคิดของคนฝรั่งเศสแล้วก็คือ “เป็นแก่นแท้ของการแข่งขัน และเป็นบ่อเกิดแห่งโศกนาฎกรรม” เพราะที่นี่แหละที่การแบ่งแยกอย่างแท้จริงจะบังเกิดขึ้น เมื่อคุณเหลือยอดเขาอีกลูกหนึ่งที่จะต้องไต่ขึ้นไป นักจักรยานคนที่แกร่งที่สุดจึงจะอัดขึ้นเขาไปได้อย่างรวดเร็ว ผมล่ะชอบภูเขาเสียจริงๆ
สเตจขึ้นเขาสเตจแรกนี้เองที่จะนำผมไปสู่โอตาก็อง
ในตอนรุ่งเช้าของสเตจนี้ ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับฝนอันเย็นยะเยือก ผมรีบเผ่นออกจากเตียงอย่างรวดเร็วและกระชากม่านเปิดออก แล้วก็หัวเราะกับตัวเอง “แจ๋ว” ผมบอก มันเป็นสภาพอากาศอันทรมาน เป็นอากาศแบบที่สามารถทำให้หลายๆคนถอดใจได้ทีเดียวทันทีที่ตื่นขึ้นมา สภาพอากาศบนโอตาก็องคงจะต้องมีลมแรง และมีแต่หมอกเหมือนกับที่มันเคยเป็นเมื่อครั้งที่ผมขี่ขึ้นเขาสองครั้งในวันเดียวกันระหว่างการซ้อมแน่ๆ มันเป็นการซ้อมใหญ่ที่พอดิบพอดีจริงๆ
บนรถบัสของทีม ผมได้บอกกับโยฮานว่า “คราวนี้ล่ะ มันจะต้องเป็นตำนาน”
ที่เส้นสตาร์ท คุณจะรู้สึกได้เลยว่านักจักรยานคนอื่นๆในเปโลต็อง(ฝูงนักจักรยานที่มาแข่งขันกันทั้งหมด……..ผู้แปล)กำลังหวาดกลัววันอย่างนี้กันอยู่ พวกเขากลัวว่าจะมีเรื่องเจ็บตัวกัน แล้วคุณก็ยังสามารถจะรู้สึกได้อีกถึงความกลัวที่ทำลายขวัญของคนบางคนได้ก่อนที่จะออกตัวไป พวกเขาทั้งบ่นพึมพำและทนขี่จักรยานท่ามกลางสายฝนพร้อมทั้งแช่งด่าลมฟ้าอากาศไปด้วย สำหรับผม รู้สึกว่าพร้อมแล้ว ผมจึงบอกกับเพื่อนๆในทีมของเราว่า “วันนี้เรามาพักผ่อนกันนะเพื่อน มาสนุกกันเถอะ”
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยราบคาบ ฝนที่ตกหนักอย่างน่ากลัวนี้ไม่ได้ลดราวาศอกลงเลย และนักปั่นน่องเหล็กชาวสเปนที่ชื่อว่าฮาเวียร์ ออทโซอาก็ทำให้ทั้งกลุ่มประหลาดใจด้วยการปั่นฉีกหนีออกไปคนเดียวเมื่อแข่งกันจนกินระยะทาง 50 ก.ม.เขานำอยู่ไกลมากและก็นำอยู่อย่างนั้นตลอดทาง ไม่มีใครเลยในพวกเราที่จะไล่เขาทันเนื่องจากต้องสงวนพลังงานเอาไว้เมื่อถึงตอนต้องไต่เขา
วันอันยาวนานทำให้ขาของพวกเราอ่อนกำลัง เพื่อนร่วมทีมของผมต่างก็หายไปทีละคน หลังจากที่พวกเขาได้ทำหน้าที่เหมือนกับเป็นจรวดขับดันผมมานาน เพื่อให้ผมมาปั่นอยู่แถวหน้าๆนี้ได้ แต่ว่าตอนนี้พวกเขาไม่เหลือแล้ว มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นกับนักปั่นอีกจำนวนหนึ่งจากหลายๆทีม
เมื่อเราได้เคลื่อนมาถึงโอตาก็อง เราได้ใช้เวลาไปแล้วสี่ชั่วโมง กินระยะทาง 190 กิโล และไต่ผ่านช่องเขามาแล้วสองครั้ง ที่อยู่ข้างหน้าก็คือยอดเขาสุดท้ายที่ทั้งสูงและชันกินระยะทางแปดไมล์ครึ่ง มันชันขึ้นด้วยอัตรา 7.9เปอร์เซ็นต์—ซึ่งก็เปรียบได้กับมันจะชันขึ้น 7.9 ฟุตทุกๆระยะทางที่เพิ่มขึ้น 100 ฟุต
ผมขี่เกาะกลุ่มมากับอุลริค,ปานตานี่และอาเล็กซ์ ซุลเล่จากสวิตเซอร์แลนด์ ผู้รั้งตำแหน่งรองแชมป์ตูร์ฯเมื่อปี 99 และเป็นคนที่อาจจะชนะผมได้ด้วยตามที่บางคนเคยกล่าวเอาไว้ ถ้าเขาไม่โชคร้ายไปล้มลงเสียก่อนในตอนต้นๆของการแข่งขัน ที่อยู่ข้างหน้าพวกเราก็คือริชาร์ด วิร็องค์จากฝรั่งเศสหนุ่มนักปั่นยอดนิยมของคนชาติเดียวกัน และเฟอร์นานโด เอสคาตินจากสเปน พวกเราทั้งหมดนี้กำลังไล่ตามออทโซอา
พวกเรามาถึงเชิงเขาของโอตาก็องแล้ว และปานตานี่ก็ลุกขึ้นยืนกระทืบลูกบันไดเพื่อเร่งเครื่องหนีพวกเรา เขาเหวี่ยงตัวไปทางด้านในของถนนและเร่งเครื่อง ซุลเล่ก็ตอบโต้ทันทีด้วยการอัดตามไปติดๆ….. รวมทั้งผมเองด้วย มีอยู่ขณะหนึ่งที่ผมพยายามจะไล่ให้ทันและเกิดความคิดขึ้นมาว่า โอ้ ไม่นะ…. เดี๋ยวก็หมดแรงกันพอดี แต่ซุลเล่ก็เริ่มอ่อนแรงและผมได้แซงขึ้นไปอยู่ข้างหน้าเขา ผมเริ่มเซ็ทจังหวะขี่ได้แล้วในตอนนี้ มันเร็วพอที่จะทำให้ใครก็ตามที่คิดจะไล่หลังผมต้องลิ้นห้อยได้เลย
ผมเหลียวกลับไปมองข้างหลัง ซุลเล่หายไปจากสายตาแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่ผมกับปานตานี่ ผมต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ มันสำคัญมากเลยที่จะต้องรักษาความเร็วให้ได้ เพราะหากหลุดจากการไล่ตามบนภูเขาแล้วมันก็จะหลุดเลย ซุลเล่ได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว
เรามาถึงลาดขึ้นเขาที่ผมคุ้นเคยแล้ว ปานตานี่ยังนำหน้าอยู่ ความคิดของผมก็คือ เอาเลยไอ้หนู กูจะไล่มึงให้ไฟไหม้ตูดตั้งแต่ตรงนี้แหละวะ ผมลุกจากอานแล้วก็กระทืบลูกบันไดไม่ยั้ง จนจักรยานของผมพุ่งเลยปานตานี่ไป โยฮานเอะอะมาตามคลื่นวิทยุว่า “แม่งไม่ไหวแล้ว มันหลุดแกแล้วโว้ย” ผมเหลียวกลับไปก็เห็นว่าเขากำลังถอยหลังออกไปเรื่อยๆ ไม่นานนักเขาก็ไม่อยู่ในสายตาของผมอีกเลย
ผมกวาดขึ้นเขาไปได้ ผมไม่ได้เพียงแค่ฝึกแต่พลังขามาเพื่อให้อัดขึ้นโอตาก็องนี่เท่านั้น ผมต้องการจะให้นักจักรยานคนอื่นๆได้เห็นด้วยว่าผมนั้นมีท่าทีแข็งแกร่งแค่ไหนบนอานจักรยานด้วย เพราะมันเป็นเหมือนการทำลายขวัญกันจริงๆเมื่อมองเห็นว่ามีนักจักรยานอีกคนพุ่งผ่านไปอย่างสบายๆในขณะที่ตัวคุณเองกำลังทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่ สิ่งที่แสดงให้เห็นเพียงสิ่งเดียวว่าผมกำลังต่อสู้อย่างหนักหน่วงก็คือสียงฟืดฟาดจากจมูกของตัวเองเท่านั้น
เมื่อผมเข้าเส้นชัย ผมก็คือผู้มีคะแนนรวมนำอยู่ในตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ผมเริ่มต้นวันแรกด้วยการอยู่ในตำแหน่งที่ 16 ซึ่งถูกที่หนึ่งทิ้งอยู่มากกว่าหกนาที แต่ตอนนี้ผมอยู่ในตำแหน่งที่หนึ่งนั้นแล้ว
ทั้งอุลริค,ปานตานี่,วิร็องค์,ซุลเล่ และเอสคาตินต่างก็ถูกผมทิ้งอยู่กันคนละเจ็ดนาทีเป็นอย่างน้อยที่เส้นชัย ปานตานี่ตามอยู่ 10 นาที 34 วินาที เขาเดินเข้าไปที่รถเทรลเลอร์ของตัวเองแล้วกระแทกประตูโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ วิร็องค์ก็เอาแต่ส่ายหัวแล้วพูดแต่ว่า “อาร์มสตรองผ่านพวกเราไปยังกะเครื่องบินแน่ะครับ”
แต่ในวันนั้นก็ยังมีนักจักรยานที่ทำความเร็วได้ดีกว่าผมในสเตจนั้น ออทโซอา เขาคือผู้ที่พาตัวเองเข้าเส้นชัยด้วยเวลาเร็วกว่าผม 42 วินาทีและได้เป็นผู้ชนะในสเตจนั้นด้วย(ผู้ชนะในสเตจเพียงสเตจเดียว ไม่จำเป็นต้องชนะประเภทเวลารวมและได้เสื้อสีเหลืองมาสวมเสมอไป เพราะอาจจะทำเวลาดีได้ในสเตจนั้นแต่ว่าอาจจะทำได้ไม่ดีนักในสเตจอื่นๆ……..ผู้แปล) ผมย่นระยะเวลาได้มากกว่าหนึ่งนาทีที่ห่างจากเขา แต่ก็ไม่สามารถจะอุดช่องว่างได้ ผมไม่ได้เสียใจอะไรหรอกครับ ออทโซอาขี่ได้ดีและกล้าเล่นจริงๆผมยังชื่นชมเขาเลย และผมก็ได้แล้วในสิ่งที่ตัวเองต้องการคือทั้งการมีคะแนนรวมนำเป็นที่หนึ่งและได้เสื้อเหลืองมาสวม
วนนั้นเป็นวันที่แจ่มใส เป็นวันที่ดีและเป็นวันที่อาจจะทำให้นักจักรยานหลายๆคนต้องถอดใจไปเลย บางคนก็บอกว่าผมถล่มทลายการแข่งขันนี้เสียด้วย วัลเทอร์ โกเดอะโฟรต ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมของอุลริคกล่าวว่า “ถ้าอาร์มสตรองยังไม่อ่อนแรงลง เขาต้องชนะที่ปารีสแน่นอน ไม่มีใครสู้เขาได้หรอก”
แต่การแข่งขันครั้งนี้ยังไม่จบสิ้นหรอกครับ สเตจขึ้นเขาสเตจใหญ่ไหนๆก็ทำลายคุณได้ทั้งนั้น และอีกหลายๆคนก็จะไม่ยอมแพ้มันจนกว่าจะเห็นปารีส ผมเรียนรู้มาแล้วว่าต้องไม่ไว้วางใจในสิ่งใดๆ ค่ำคืนนั้นเมื่อเราดินเนอร์กันผมก็อึ้งไปเลยเมื่อโยฮานถามเพื่อนๆในทีมว่ามีใครต้องการแชมเปญบ้าง ผมจึงบอกว่า “ให้ชนะที่ปารีสซะก่อนเถอะค่อยดื่มแชมเปญกัน ปารีสยังอยู่อีกไกลนะ”
ความจริงก็คือว่าผมเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าต้องมาปั่นหนีเดี่ยวกันอีกครั้งหนึ่งหรือเปล่า การทำอย่างนี้มันทำให้คุณเสียพลังงานไปมากแล้วคุณก็ไม่สามารถจะทำมันได้บ่อยๆด้วย นักจักรยานคนอื่นก็รู้ดีเท่าๆกันครับ พวกเขาจึงพยายามที่จะแยกผมให้โดดเดี่ยวแล้วก็พยายามจะทำให้ผมอ่อนกำลังลงด้วย
สเตจที่ 12 นี้ค่อนข้างจะเป็นสเตจตัดสินเลยก็ว่าได้ มันมีระยะทาง 148.8 กิโล ขึ้นสู่ยอดเขาม็องต์ ว็องตู ยอดเขาสูงตระหง่านเงื้อมอยู่เหนือเมืองโปรว็องซ์ซึ่งห่างจากเมืองมาร์เซยส์ประมาณหนึ่งชั่วโมง ว็องตูจึงเป็นสเตจขึ้นเขาที่โหดที่สุดของตูร์ฯในปีนั้น หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือมันอยู่ห่างจากเส้นชัย 22.4 กิโล ซึ่งเราจะเริ่มต้นกันที่ความสูงเกือบ 900 ฟุตจากระดับน้ำทะเล แต่ว่าตอนสิ้นสุดการแข่งขันมันจะมีความสุขถึง 16,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ที่แห่งนี้ไม่เหมือนที่ไหนอีกแล้ว มันน่าจะเป็นที่บนดวงจันทร์มากกว่าจะเป็นเทือกเขาด้วยซ้ำ ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือว็องตูนี่แหละมันฆ่าคุณได้ไม่ยาก
มีการปั่นไต่เขาบางหลายครั้งที่ตื่นเต้นเร้าใจเท่าที่เคยขี่แข่งขันกันมาเพื่อให้ถึงยอดสูงที่สุด แต่ที่นับว่าเป็นโศกนาฎกรรมเลยก็คือในปี 1967 นักจักรยานชาวอังกฤษชื่อทอมมี่ ซิมพ์สันต้องปั่นจักรยานของเขาท่ามกลางแสงแดดแผดเผา เขาเซไปเซมาในเส้นทางและในที่สุดก็ล้มลงคาจักรยาน พวกคนที่มาดูต่างก็ขอให้เขาเลิกแข่งเสีย แต่เขากลับบอกว่า “ไม่ เอาผมขึ้นจักรยานทีเถอะ” เขาขึ้นจักรยานได้ แล้วก็พยายามอีกครั้งเพื่อขึ้นไปให้ถึงยอดให้ได้ แต่ก็ต้องล้มลงอีกและตายในที่สุดตรงบริเวณเกือบถึงยอเขา ต่อมาภายหลังจึงตรวจพบว่ามียากระตุ้นอยู่ในกระแสเลือดของเขา ว็องตูจึงถูกนับว่าเป็นสเตจไต่เขาที่นับว่าอันตราย,ยากและหลอกหลอนที่สุด
เราเริ่มสเตจนี้ด้วยการปั่นทวนลมมิสตราล อันเป็นลมเหนือที่แรงและพัดอยู่ทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้ มันพัดปะทะไหล่ของพวกเราจากข้างหน้า ต้องขี่กันอยู่ถึงสามชั่วโมงทีเดียวกว่าจะถึงว็องตูได้ ซึ่งตรงนั้นอุณหภูมิได้ลดลงอย่างรวดเร็วจนถึง –2 องศาเซลเซียส
ลำพังการปั่นไต่เขานี้กินระยะทาง 21 กิโล ฝ่ามิสตราลซึ่งมันเร็วประมาณ 64 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปสู่ยอดเขาซึ่งก็มีลมแรง ระยะทางสามถึงห้ากิโลแรกปานตานี่พยายามหยั่งเชิงดูก่อนว่าเขาจะสามารถนำกลุ่มได้ไหม เขาเริ่มเร่งเครื่องขึ้นไป แล้วก็ถอยลงมา เร่งเครื่องอีกแล้วก็ถอยลงมาอีก
เหลือระยะทางอีกสามไมล์ เมื่อเราอยู่ใกล้ๆกับอนุสาวรีย์ของซิมพ์สันผมก็ลุกขึ้นอัดแซงหน้าปานตานี่ไป ขณะที่กำลังแซงอยู่นั้นผมก็หันมาพูดกับเขาว่า
“วินเช่!” ผมพูดเป็นภาษาอิตาเลี่ยนกระท่อนกระแท่น
มันมีความหมายว่า “มาเถอะครับ มากับผมเถอะ”
ผมหมายความว่าอยากจะกระตุ้นเขา เชื้อเชิญเขาให้ขี่มาด้วยกันเพราะผมเองก็ตั้งใจที่จะช่วยให้เขาได้เข้าสู่เส้นชัยได้ในฐานะของผู้ชนะในสเตจนี้ ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะว่าในตอนนั้นผมคิดว่าปานตานี่คือคนที่สมควรชนะน่ะซิ เขาต้องใช้เวลานานทีเดียวนะกว่าจะเรียกความมั่นใจกลับมาได้หลังจากเกิดเรื่องทดสอบยานั่น ผมคิดว่าเขาคือคนหนึ่งในวงการกีฬานี้ที่น่าสนใจ เขาเป็นคนที่มีสไตล์ทีเดียวเมื่ออยู่ในเสื้อผ้าชุดสีชมพูสด มีผ้าโพกหัวและใส่ตุ้มหูด้วย ในวันนั้นเขาก็ยังช้าอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพยายามอย่างหนัก ผมเองก็นับถือความพยายามของเขาและมันก็ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งถูกต้องด้วยที่นักไต่เขาชั้นยอดอย่างเขาควรจะได้เป็นผู้ชนะในว็องตู(ปานตานี่เคยทำสถิติขึ้นเขาลูกนี้ได้อย่างเร็วที่สุด และยังไม่มีใครทำลายสถิติได้…..ผู้แปล) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมมีเวลารวมเป็นต่ออยู่ถึงเกือบสิบนาทีจากเวลาการแข่งขันที่ผ่านมาแล้วสองอาทิตย์ ผมยอมเป็นที่สองได้
การอ่อนข้อทำนองนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีในกีฬาประเภทอื่น แต่ไม่ใช่ในตูร์ฯ ในความเป็นจริงแล้วเราถือว่าเป็นการให้เกียรติกันเสียด้วยซ้ำ สำหรับผมแล้วในฐานะที่เป็นผู้นำอยู่ในประเภทเวลารวม การไปชนะในสเตจที่ตัวเองไม่ต้องการมันก็เหมือนกับไปหยามศักดิ์ศรีของนักจักรยานคนอื่นๆเขา และอันที่จริงแล้วมันก็จะเป็นการทำร้ายอาชีพและรายได้ของเขาด้วย พวกเขาทั้งหมดต่างก็มีเงินเพิ่มให้ในกรณีต่างๆ และการชนะในสเตจนั้นมันก็มีคุณค่าอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว บางครั้งมันก็เป็นหน้าที่ที่ผู้นำจะต้องเป็นผู้ กรองด์ เซย์นเฌอร์ หรือแปลว่าเป็นผู้มีเมตตา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากอินดูเรนผู้ชนะตูร์ฯได้ถึงห้าครั้งติดต่อกันตั้งแต่ปี 1991 ถึงปี 1995 ชนะได้ทุกวันมันก็ไม่ได้ดีเสมอไปหรอกครับ ยังมีนักจักรยานอีกตั้งสองร้อยคนในกลุ่ม ทุกคนก็ทำงานหนักกัน และแต่ละคนก็สมควรที่จะมีใครได้ระลึกถึงความยากลำบากของพวกเขาบ้าง ไม่มีใครเป็นผู้แพ้หรอกครับเมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลงและคุณเองก็ได้ไต่ทางลาด 10 เปอร์เซ็นต์ขึ้นว็องตูบนยอดของโปรว็องซ์มาแล้ว ที่ตรงนั้นนักจักรยานบางคนยังเคยตายแล้วด้วยซ้ำไปเมื่อเขาพยายามทำ
แต่ปานตานี่กลับตีความหมายของผมผิด เขาคิดว่าผมพูดว่า “วิเตสเซ่” อันมีความหมายว่า “เร็วๆหน่อย” มันก็เป็นเรื่องของการตีความผิด “วิเตสเซ่” มีความหมายไปในทางดูถูก มันเหมือนกับว่าผมกำลังบอกว่าเขาน่ะขี่จักรยานช้าอืดอาด และต้องการให้เขาออกไปให้พ้นทางของผม เขาคิดจริงๆนะว่าผมทำตัวเป็นศัตรู
เราขี่จักรยานเคียงคู่กันไปจนกระทั่งใกล้ถึงเส้นชัยท่ามกลางลมพัดรุนแรง ทางเลือกของผมคือผมสามารถสปรินท์เข้าเส้นชัยไปก่อนเขา หรือเลือกที่จะยอมให้เขาชนะไปในสเตจนี้ ในเมื่อผมยังคงปลอดภัยอยู่ในประเภทเวลารวมผมจึงเลือกที่จะยอม ไม่กี่รอบของการกดลูกบันไดห่างจากเส้นชัยผมก็ปล่อยเขาไป
ที่สำคัญก็คือผมได้ทำให้เวลาที่นำคู่แข่งตัวจริงอย่างยาน อุลริคห่างออกไปอีกได้ถึง 31 วินาที
แต่การมอบชัยชนะให้กับปานตานี่ ผมกำลังทำบางสิ่งที่มันไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเอง อินดูเรนสามารถให้มันก็ใครก็ได้ที่ยอมรับมันได้ แต่เมื่อผมทำอย่างเดียวกันบนว็องตู มันกลับไปทำให้เขาเดือดดาลหนักขึ้น เขารู้สึกว่าผมยอมอ่อนข้อให้
“ตอนที่อาร์มสตรองบอกผมว่าให้เร็วขึ้นนั้นผมคิดว่าเขาพยายามจะยั่วยุครับ” เขาพูดในเวลาต่อมา “ถ้าเขาคิดว่าเรื่องมันจบไปแล้ว เขาคิดผิดนะ”
ผมก็ต้องปกป้องตัวเองบ้าง ผมตอกกลับไปว่า “โชคไม่ค่อยดีนะครับที่เขาได้กำลังแสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมา” นี่ล่ะที่ผมเหน็บกลับไป ผมยังเรียกเขาต่อหน้าธารกำนัลด้วยว่า “เอเลฟานติโน่” (ไอ้หูช้าง……ผู้แปล)อันเป็นชื่อเล่นที่เขาเกลียดชัง เพราะมันหมายถึงสภาพที่หูของเขามันกางพ้นออกมาจากผ้าโพกหัว
นั่นก็เลยกลายเป็นเรื่องบาดหมางที่กินเวลาเป็นสัปดาห์เลย วันต่อมาปานตานี่ก็พุ่งขึ้นไปข้างหน้าฝูงและพยายามจะเอาชนะในสเตจนั้นให้ได้โดยไม่ต้องให้ผมช่วย และในภายหลังเขาก็ได้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ซาบซึ้งเลยกับความเอื้ออาทรของผม “ชนะด้วยตัวเองนี่มันน่าพอใจกว่าว่ะ” เขาพ่นกระแทกผม “รสชาติของชัยชนะจะแตกต่างเมื่อคุณปล่อยให้คนอื่นอยู่ข้างหลัง นี่แหละรสชาติแห่งชัยชนะ”
ตอนนี้ผมก็ยังเสียดายม็องต์ ว็องตูอยู่ และมันกัดกินใจเหลือเกิน เพื่อนผมคือเอ็ดดี้ แมร์กซ์ ชาวเบลเยี่ยมผู้ชนะตูร์ฯได้ห้าครั้งติดต่อกันก็ตำหนิด้วยว่า “คุณทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่เลยนะ” เขาบอก “นักจักรยานคนที่แข็งที่สุดยังไงก็ต้องชนะที่ม็องต์ ว็องตู คุณต้องไม่ไปเที่ยวใส่พานให้ใครเขาที่ว็องตูนี่ ใครจะรู้ล่ะว่าโอกาสที่คุณจะชนะที่นี่จะมีอีกเมื่อไหร่?” ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นนักจักรยานที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ผมก็ปล่อยให้กระแสมันชักนำไป ถ้าผมต้องมาอยู่ในตำแหน่งที่จะให้ของขวัญกับปานตานี่ได้อีก ผมคิดว่าคราวนี้เขาจะไม่ได้มันไปอีกแล้ว
อีกไม่กี่วันถัดมาผมก็ทั้งขุ่นเคืองและไร้สมาธิ ความโกรธนั้นยังไงก็อยู่ได้ไม่นานหรอกครับ คุณไม่ควรจะมาเก็บอารมณ์แบบนี้เอาไว้กับตัว และในกรณีนี้มันก็ทำลายการตัดสินใจของผมน่าดูเหมือนกัน อย่างแรกก็คือผมยอมให้อารมณ์เข้าครอบงำ แล้วต่อไปผมก็ปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งมาทำให้ตัวเองวอกแวก ทั้งสองอย่างนี้มันไม่ได้ให้อะไรกับผมเลย
เราขี่มาถึงสเตจภูเขาสเตจสุดท้ายอันเป็นส่วนที่อันตรายที่สุดของตูร์ฯ มันค่อนข้างจะสั้นแต่ก็ขี่ยากตลอดระยะทาง 195.2 กิโล ขึ้นสู่ยอดเขาชื่อว่าจูซ์-ปลาน มันสามารถหลอกลวงความรู้สึกคุณได้เลยล่ะ เพราะตรงนี้ไม่ใช่สเตจทางยาว มันก็เลยชวนใจให้คิดว่าการแข่งขันไม่น่าจะยาก แต่ผิดครับ ยิ่งสเตจสั้นเท่าไหร่ก็ยิ่งอัดกันเร็วมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นมันก็ต้องยากลำบากขึ้นด้วย
ปานตานี่อปั่นออกไปอย่างเร็วจี๋ จุดประสงค์ก็คือล่อให้ผมตาม---แล้วก็ลวงผมเข้าไปสู่ความผิดพลาดอันเลวร้ายที่สุดในอาชีพ “ผมอยากจะแข่งในตูร์ฯนี้โดยไม่ต้องห่วงถึงผลที่จะตามมาครับ” ผมยอมรับในภายหลัง
การฉีกตัวเองหนีออกไปนี้ทำให้ทีมยู.เอส. โพสเทิลตกอยู่ใต้ความกดดัน แล้วโยฮานกับผมก็พูดโต้ตอบกันด้วยวิทยุของเรา หารือกันถึงยุทธวิธีว่าเราจะปล่อยให้เจ้าปานตานี่มันนำได้แค่ไหน? ผมน่ะอยากจะไล่บี้เขาจะตายอยู่แล้วในตอนนี้ การแข่งขันมันเข้มข้นมากและความขุ่นเคืองใจของผมเองก็มีอยู่มาก ตลอดระยะทาง 80 กิโลนี้ปานตานี่ก็ยังนำอยู่โดยมีผมไล่จี้ไปติดๆ
แต่เราก็ยังขี่กันอย่างทรหด และผมก็ยังรู้สึกดีอยู่บนจักรยานด้วย มันดีเสียจนไม่ได้คิดถึงโอกาสสุดท้ายที่จะกินเลย แล้วก็ปั่นผ่านจุดให้อาหารไปโดยไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น มันเป็นความผิดอย่างโง่เขลาแท้ๆ เป็นเรื่องไม่คาดคิดเลยสำหรับมืออาชีพ แต่ผมก็ทำมันจนได้ เราหมกมุ่นอยู่แต่กับยุทธวิธีและเจ้าปานตานี่จนลืมทำสิ่งง่ายๆไป เพราะผมยังไม่เคยเจอมาก่อนเลยว่าผลพวงที่เกิดจากการไม่ได้กินอาหารมันจะเป็นยังไง
ในที่สุดผมก็ตามเขามาทันตรงก่อนจะถึงจูซ์-ปลาน ที่จุดนี้ปานตานี่เริ่มจะถดถอยแล้วเพราะปวดท้อง และจริงๆแล้วเขาก็ตามผมอยู่ด้วยถึง 13 นาที แต่เขาก็ได้ทำแล้วในสิ่งที่เขาต้องการจะทำนั่นคือ : ต้องการจะทำลายผมให้พินาศย่อยยับ
เรามาถึงเชิงเขาจูซ์-ปลาน และผมปั่นขึ้นไปอย่างรวดเร็วโดยมีเควิน ลิฟวิงสตันปั่นบังลมให้ขณะที่เราไต่ นักจักรยานคนอื่นเริ่มช้าลงเพราะไม่สามารถปั่นทันเราได้ เหลือแต่เพียงเราสองคนเท่านั้น แล้วเควินก็เริ่มไม่ไหว เขาก็หลุดไปอีกคนเหมือนกัน
ไม่นานนักก็เหลือผมอยู่เพียงคนเดียว แล้วก็ทันใดนั้นเหมือนกันที่ผมรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว เริ่มต้นรู้สึกได้ด้วยความอ่อนล้าจนสังกตได้ชัดที่ขา แล้วต่อมาก็คือความเจ็บปวดในท้อง น้ำไม่มี อาหารก็ไม่มี ไม่มีโปรทีนบาร์ ไม่มีอะไรติดท้องเลย แล้วก็ไม่มีทางที่จะไปขอใครกินด้วย
รู้สึกได้อย่างชัดเลยว่าพลังของตัวเองร่อยหรอลงไปแล้ว
ทั้งวิร็องค์และอุลริคต่างก็เร่งขึ้นมาทัน……และแล้วทั้งคู่ก็ผ่านผมไป
ตอนแรกผมก็พยายามจะเกาะกลุ่มกับพวกเขาเอาไว้และพยายามทนต่อความเจ็บปวดให้ได้ แต่ความเร็วของผมก็ยังลดลง แล้วก็ลดลงอีก ไม่นานนักมันก็เหมือนกับผมกำลังไหลถอยหลังลงเขาไปเสียอย่างนั้น
อุลริคและวิร็องหันกลับมามอง คงแปลกใจน่าดู ผมบอกได้เลยว่าพวกเขาต้องกำลังคิดกันอยู่แน่ๆว่า “มันทำอะไรของมันวะ? นี่มันแกล้งสำออยหรือเปล่า?” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะขี่แซงพวกเขาไปได้อย่างง่ายดาย แต่ในตอนนี้ผมกำลังลำบากและสีหน้าของตัวเองก็กำลังฟ้องอยู่
ยังเหลืออีกสิบกิโลเมตรที่ต้องไป แต่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนหกสิบกิโลเลย โยฮานพูดมาตามวิทยุว่า---เขาบอกได้เลยว่าอะไรเกิดขึ้นด้วยการสังเกตความช้าลงของผม โยฮานผู้เคยเป็นนักจักรยานมาก่อนรู้ว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้เมื่อนักจักรยานเกิด “หมด” ขึ้นมา ความกลัวอย่างที่สุดของเขาไม่ใช่ว่าผมจะอดนำหรอก แต่กลัวว่าผมจะหมดแรงล้มลงต่างหาก หรือออกจากการแข่งขันไปเลย แล้วก็แพ้ทั้งรายการแข่งขันมันที่ตรงนั้น
โยฮานพยายามทำเสียงในวิทยุของเขาให้เป็นปกติ กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความกดดัน ไม่เพียงแต่ผมกำลังแย่เท่านั้น แต่ที่นั่งไปในรถยนต์คันเดียวกับเขาในฐานะแขกระดับวีไอพีก็คือนายกรัฐมนตรีของเบลเยี่ยม “ไม่ต้องห่วง นายยังนำอยู่เยอะ” เขาพูดอย่างนุ่มนวล “แล้วค่อยเอาคืนทีหลังได้”
การเล่นอย่างฉลาดอย่างที่โยฮานว่าไว้ก็คือต้องค่อยๆปั่นช้าๆ เพื่อให้ผมค่อยๆขึ้นเขาไปได้ จำกัดการสูญเสียเอาไว้ สิ่งที่เลวที่สุดที่ผมจะทำก็คือการปั่นให้เร็ว เพราะมันจะหมดแรง พอแรงหมดแล้วใจก็ไม่เหลือ ในที่สุดก็ต้องพับพาบอยู่ข้างทางนั่นเอง
ทุกรอบขาปั่นมันยิ่งทิ่มแทงผม และทำให้ร่างกายให้อ่อนล้าหนักเข้าไปอีก มันเป็นเรื่องของการขาดอาหารและแคลอรี่แท้ๆเลย
การหมดแรงอย่างรวดเร็วนี้สามารถทำให้สิ่งแปลกๆเกิดขึ้นได้ เมื่อร่างกายไปไม่ไหว ใจก็ไม่ไหวด้วยเช่นกัน แล้วดวงตาของคุณก็จะวิ่งเข้าหากัน หรือมองเห็นว่าหิมะเป็นสีดำ คุณจะมีอาการประสาทหลอน พยายามจะพูดออกทางหูให้ได้หรืออาจจะถึงกับลงจากจักรยาน คุณจะร่อนถลาเข้าหาข้างทางแล้วก็หยุดเพราะว่าปั่นต่อไม่ไหวแล้ว ถ้าคุณลงจากจักรยาน มันก็จบเห่ ต้องออกจากการแข่งขัน แล้วผมเองก็มีสภาพไม่ไกลนักจากจุดนี้
ผมได้เคยเห็นนักจักรานหลายคนต้องเสียเวลาไปมาก หรือบางคนเสียถึง 15 นาทีในสถานการณ์เช่นนี้ ด้วยการไต่ทางชันข้างหน้าและใช้เรี่ยวแรงหมดแล้วทุกหยาดหยด ผมเคยเห็นพวกเขาเหนื่อยจนน้ำลายยืด ได้เห็นพวกเขาหมดกำลังใจและไม่เหมือนกับนักจักรยานคนเดิมอีกต่อไป ตอนนี้ผมเจอเรื่องแบบเดียวกันเข้าให้แล้ว ผมค่อยๆอ่อนล้าลง วันนี้มันเป็นวันที่มืดมนที่สุดในการแข่งขันเลยก็ว่าได้
ผมเริ่มจะสับสนว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หรือว่ามาทำอะไรอยู่ ความคิดหาเหตุผลหนึ่งของตัวเองก็คือ ที่นำเขาอยู่ตั้งเจ็ดนาทีครึ่งอย่างนี้มันนานนะ อย่าเสียมันไปทั้งหมด โยฮานยังคงพูดกรอกหูผมอยู่อย่างต่อเนื่อง พูดซ้ำๆซากๆว่า “เย็นไว้ ขี่สบายๆ อย่าฝืน นายปล่อยไปอีกนาทีนึงก็ได้ สองนาที สามนาที สี่นาทีก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าหยุด”
ตรงบริเวณเส้นชัย ทั้งบิล สเตเปิลตันและกลุ่มของเพื่อนๆผู้มาที่นี่เพื่อดูผมแข่งกำลังนั่งอยู่ในรถเทรลเลอร์สำหรับแขกวีไอพี พวกเขากำลังจิบไวน์และกับแกล้มขณะที่ดูการถ่ายทอดทางทีวี ตอนแรกก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็นหรอกว่าผมเริ่มจะช้าลง แต่ต่อมาผมก็หลุดออกจากกลุ่มหน้าแล้วก็เริ่มหายไป ทั้งอุลริคและนักจักรยานคนอื่นๆก็เริ่มจะทำเวลาแซงหน้าผม ทันใดนั้นเสียงในเทรลเลอร์ที่เคยเฮฮากันก็เปลี่ยนเป็นการพูดคุยกันอย่างไม่ได้ศัพท์ บางคนพูดว่า “โอ พระเจ้า นี่มันอะไรกัน?” แล้วพวกเขาก็เงียบกัน เงียบสนิทจริงๆ
บนจักรยาน ผมไม่สามารถคิดอะไรปะติดปะต่อกันได้อีกแล้ว ผมกำลังขาดน้ำและอุณหภูมิในร่างกายก็เริ่มเล่นตลก รู้สึกหนาวสั่น แขนขารู้สึกว่าว่างเปล่า ว่างเปล่า ว่างเปล่าจริงๆ แม้แต่พวกนักปั่นเล่นวันอาทิตย์ก็ยังสามารถแซงผมได้ง่ายๆ
ที่ยืนอยู่ในฝูงชนบนเชิงเขาและจ้องมองผมเป็นหมาหอบแดดอยู่ข้างบนนั้นก็คือบาร์ท แน็กส์ เพียงแต่ว่าในตอนนี้เขาไม่ค่อยจะเหมือนกับบาร์ทคนที่ผมเคยขี่จักรยานด้วยกันเท่าไหร่นัก ที่อยู่ด้วยกันอีกคนก็คือเพื่อนที่แสนดีของเราอย่างคอลเลจ อย่างที่ผมได้พูดไว้ล่ะครับว่าเราจะบอกว่าตัวเองเป็นยังไงก็ต้องดูส่วนหนึ่งด้วยที่ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และทั้งบาร์ทกับคอลเลจต่างก็มาอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาสำคัญของผม พวกเขาเคยนั่งอยู่กับผมเมื่อครั้งที่หมอได้มอบคำสั่งประหารให้ และยังบอกอีกด้วยว่าถ้าผมรอดก็ต้องคลานออกจากโรงพยาบาล พวกเขาไปอยู่ข้างๆเตียงคนไข้อีกครั้งหลังจากการผ่าตัดสมอง ทั้งบาร์ทและภรรยาของเขาคือบาร์บาราผู้ซึ่งมีลูกสาวฝาแฝดสองเป็นเพื่อนสนิทกับเรามานานแล้ว เมื่อตั้งแต่ครั้งที่คิคและผมผสมเทียมกันเพื่อให้ได้เจ้าลุคออกมา
บาร์ท คอลเลจและผมได้ขี่จักรยานด้วยกันไมล์แล้วไมล์เล่าในย่านภูเขาของเท็กซัส ได้หัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่กัน หรือเพียงแค่พูดคุย ผมชอบจะยั่วเย้าพวกเขาเรื่อยเวลาที่ขี่จักรยานกัน ได้ขี่ไปกับเขา ได้จี้เขาให้หนีบ้างในบางครั้ง แต่เมื่อใดที่เราไม่ได้ปั่นจักรยานเราก็เป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือกัน วันหนึ่งเราได้ขี่จักรยานเป็นระยะทางไกลอย่างไม่เคยขี่มาก่อนสู่วิมเบอร์ลี่แล้วก็กลับ ในระยะทางอันคดเคี้ยวนั้นในที่สุดบาร์ทก็ไปไม่ไหวและแยกตัวไปหาทางลัดกลับบ้าน แต่คอลเลจยังคงพยายามที่จะปั่นไปกับผม เขาก็โอเคดีอยู่หรอกจนกระทั่งเรามาถึงดริปปิง สปริงนี่แหละ เมื่อเขาหมดแรงร่างกายของเขาก็ขาดเกลืออย่างหนักและอ่อนล้าลง
ผมจึงให้โค้กเขาดื่มซึ่งมันทำให้เขาฟื้นตัวขึ้นได้นิดหน่อยแต่ก็ไปได้ไม่นาน ผมจึงต้องเริ่มขี่บังลมเพื่อให้เขาจี้ท้ายไปเรื่อยๆ แล้วก็ลากเขาอย่างนี้ไปสักระยะหนึ่ง แต่เมื่อเราเหลือระยะทางจากบ้านเพียงแปดกิโล เขาก็ปั่นไม่ไหวอีกแล้ว จึงตะโกนกลับมาว่า “ไม่ไหวแล้วว่ะ” ผมจึงตะโกนตอบไปว่า “เฮ่ย ไหวสิวะ” แล้วก็เริ่มหัวเราะ แล้วผมก็พูดว่า “โอ๋ อยากให้แกได้เห็นหน้าตัวเองตอนนี้จังเลยว่ะ” เขาหน้าซีดขาวและคอตกอยู่เหนือแฮนด์ พอเรามาถึงเนินใหญ่ที่จะเข้าสู่เมืองออสตินผมก็ยื่นมือไปดันหลังเขา ดันขึ้นเนินไปเพื่อกลับบ้าน
ไม่นานนักหลังจากนั้นผมก็เป็นมะเร็ง ผมยังพยายามที่จะขี่อยู่ ทั้งบาร์ทและคอลเลจก็ยังขี่เคียงข้างผมอยู่เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเขาต่างหากที่จะปล่อยให้ผมกินฝุ่นเพราะผมอ่อนแออย่างเหลือเกิน บ่ายวันหนึ่งเมื่อผมทั้งหัวเหน่ง,ผอม และเหลืองไปทั้งตัวจากการทำเคมีบำบัดครั้งที่สาม ผมก็อยากจะขี่จักรยานอีก ที่จริงก็น่าจะนอนอยู่บนเตียงมากกว่าเพื่อพักผ่อนแต่ผมก็ยังดื้อดึง ดังนั้นทั้งบาร์ทและคอลเลจก็จำต้องออกไปกับผม เราไปได้แค่ห้าหรือหกกิโลจนกระทั่งมาถึงเนินลูกหนึ่งผมก็เริ่มจะหลุดกลุ่ม “ฉันไปไม่ไหวว่ะ” ผมบอก “ต้องกลับแล้วล่ะ”
คอลเลจก็ยื่นมือมาที่หลังของผมแล้วผลักขึ้นเนินไป ผมแทบจะร้องไห้เสียให้ได้เพราะอับอาย แต่ก็ปลื้มในความช่วยเหลือนี้ นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเราทำเพื่อกันและกัน ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางครั้งเราก็ต้องการให้ใครมาช่วยผลักบ้างเหมือนกัน ถ้าคุณคือคนที่กำลังผลักดันคนอื่นขึ้นเนินอยู่ มันก็ต้องมีบ้างสักวันเมื่อคุณต้องการให้เขาผลักหลังให้ บางทีเมื่อคุณได้ช่วยเหลือใครสักคน มันก็เหมือนกับตัวเองได้ทำสิ่งดีๆแล้วสักอย่าง
ตอนนี้ที่นี่ก็คือช่วงเวลาสำคัญอีกช่วงหนึ่ง บนจูซ์-ปลาน บาร์ทผู้ที่รู้จักผมดีกว่าใครๆทั้งหมดได้จ้องมองใบหน้าซีดเผือดและลูกตาของผมซึ่งบัดนี้กำลั้งแดงช้ำและมีเส้นเลือดกระจายเต็มไปหมด เขาได้เห็นแล้วว่าจักรยานกำลังส่ายไปมาอย่างไม่มั่นคงใต้ตัวของผม และเขารู้ได้ทันทีเลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
เมื่อไม่สามารถผลักหลังผมขึ้นเนินได้ เขาจึงทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะนึกออก เขาวิ่งมาข้างๆกับผม ตะโกนให้กำลังใจว่า” ไป ,ไป, ไป,ไป,!” เขาตะโกน “แกทำได้โว้ย! อย่าหยุดนะเพื่อน!”
ผมไม่ได้รับรู้อะไรกับเขาแล้ว เอาแต่จ้องมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว บาร์ทก็ยังคงวิ่งอยู่ เขาวิ่งขึ้นเนินแล้วก็ตะโกนว่า “เอาเลย, อัดให้ถึงยอดเลย!”ในที่สุดภูเขาก็ดูดเอาเรี่ยวแรงของบาร์ทไปหมด เขาวิ่งต่อไปไม่ไหว ผมก็ไม่เชิงรับรู้นักหรอกว่าเขาอยู่ตรงนั้น จำไม่ได้ด้วยว่ามองเห็นเขา ที่จำได้ดีที่สุดก็คือเสียงอย่างเดียว มันเหมือนกับว่าเป็นเสียงคลื่นอะไรซู่ซ่าๆ แต่มันก็เป็นเสียงของเขา ผมคิดในตอนนั้นว่ามันเป็นเสียงจากวิทยุเสียอีก
ตอนนี้เสียงของโยฮานก็ดังขึ้นในหูของผม เหมือนกับว่าผมหายไปตั้งนานโดยไม่ได้ตอบโต้กับเขา ผมไม่ทราบหรอกครับว่าเครื่องรับวิทยุของตัวเองจะรับไม่ได้บนยอดเขาหรือเปล่า หรือว่าผมอาจจะหลับนกอยู่บนจักรยานก็ได้
“แลนซ์ พูดกับผม” โยฮานพูดเสียงแตกพร่าอยู่ในวิทยุ “คุณอยู่ไหนล่ะ? ทำไมไม่ตอบผม”
“อั๊วยังโอเค” ผมบอก
“พูดกับผมซิ” โยฮานพูด
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเว้ย” ผมพูดงึมงำตอบไป “ผมพูดกับบาร์ท”
“อะไรนะ?”
“ผมพูดกับไอ้บาร์ทโว้ย” ผมพูดอย่างมีอารมณ์
ผมเริ่มจะคลุ้มคลั่งแล้ว ผมไม่รู้จริงๆว่าอะไรมันทำให้ก้นติดอานอยู่ได้ ในสภาพอย่างนั้น อะไรเล่าที่จะทำให้คนเราปั่นจนกระทั่งบ้าไปแล้ว? ผมเดาว่าเป็นเพราะเขาปั่นได้ ในบางระดับมะเร็งก็ยังคงมีส่วนช่วยอยู่ มันเป็นโรคร้ายที่เกือบจะฆ่าผมมาแล้ว และเมื่อผมได้กลับมาแข่งจักรยานอีกผมก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เคยพานพบมานั้นมันโหดเสียยิ่งกว่าการแข่งครั้งไหนๆ ผมได้รู้แล้วจากสิ่งที่ผ่านมาและมันก็เหมือนกับเป็นพลังให้ ผมยังไม่หมดไฟหรอก ผมได้เคยผ่านเรื่องอย่างนี้มาแล้วทั้งนั้น เรื่องจะให้ยอมแพ้น่ะหรือ? อ๊ะอ้า….ไม่มีทาง
แต่บาร์ทช่วยให้ผมยืนหยัดอยู่ได้ ถ้าผมกำลังลังเลอยู่ว่าอยากจะหยุด บาร์ทก็จะกระตุ้นให้ไปต่อ ผมคงไม่สามารถขี่จนจบสเตจนี้เพียงคนเดียวได้หรอกครับ ไม่ได้จริงๆ
จะยังไงก็ตามในฐานะที่ผมเป็นนักจักรยาน ผมเป็นผลพวงของหุ้นส่วนและผู้เกี่ยวข้องสนใจอีกนับล้าน และนักจักรยานคนใดก็ตามที่เชื่อเอาจริงๆจังๆว่าเขาสามารถทำอะไรก็ได้ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ในไม่ช้าก็จะโดดเดี่ยวและพ่ายแพ้ อันที่จริงพวกเราทุกคนก็มีความเหงาเปล่าเปลี่ยวกันอยู่มากพอแล้ว
ถ้าผมมีความสงสัยใดๆในเรื่องที่ว่า มันก็จะถูกจัดการให้เรียบร้อยโดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ล่ะ เมื่อขึ้นมายังจูซ์-ปลานได้ครึ่งทางผมก็ได้รับความช่วยเหลือโดยไม่คาดคิดจากนักจักรยานสองคนซึ่งขี่ขึ้นมาทันกัน คือโรแบร์โต คอนติและกีโด เทรนติน ทั้งคู่เป็นนักจักรยานที่ดี,แข็งแรงและน่านับถือซึ่งผมคบเขาเป็นเพื่อนได้อย่างเต็มใจเลย เขาได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าผมกำลังสะบักสบอม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปก็คือกรณีคลาสสิคของความเป็นนักจักรยาน และเป็นสิ่งที่ผมจะไม่มีวันลืม
ทั้งคู่ปั่นไปพร้อมๆกับผมและช่วยผมขึ้นให้ถึงยอดได้โดยที่ไม่ต้องร้องขอ พวกเขาขี่ขึ้นหน้าไปเพื่อบังลมให้กับผม ให้ผมได้อาศัยเขาลากให้ มันทำให้ผมเบาแรงได้มากอย่างบอกไม่ถูก นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในตูร์ฯครับ เราเป็นคู่แข่งกันแต่เราก็มอบความเมตตากรุณาให้กันได้เมื่อใครกำลังทนทุกข์ทรมาน ถ้าไม่มีทั้งคอนติและเทรนตินแล้วใครจะรู้ล่ะผมจะต้องเสียเวลาไปอีกเท่าไหร่ก่อนที่จะถึงยอดเขา?
โชคยังดีที่อีกไม่กี่ไมล์ของสเตจนี้เป็นการลงเขา เมื่อทั้งบาร์ทและเพื่อนคนอื่นๆได้ช่วยลากผมขึ้นสู่ยอดจูซ์-ปลานแล้วผมก็ก้มหมอบลงเหนือแฮนด์แล้วก็ปล่อยให้จักรยานเลื่อนไหลลงสู่เบื้องล่าง ในที่สุดผมก็เสียเวลาที่นำไปเพียง 90 วินาทีเท่านั้น แต่ผมอาจจะสูญเสียไปทุกอย่างได้อีกเหมือนกัน เรื่องนี้ผมรู้ดี
“ผมเกือบจะแพ้การแข่งขันตูร์ฯแล้วนะวันนี้” ผมแถลงต่อผู้สื่อข่าวอย่างตรงไปตรงมากในภายหลัง
เมื่อผมได้พบกับเพื่อนชื่อเจฟฟ์ การ์วี่ย์จากออสติน ผมก็บอกเขาว่า “ชอบตอนที่ไอ้นักปั่นสมัครคนนี้เล่นมาแข่งตูร์ เดอ ฟร็องซ์ มั้ยล่ะ”
ผมจำไม่ค่อยได้ดีเท่าไหร่นักกับสิ่งที่พูดหรือทำไประหว่างช่วงเวลาที่ตัวเองเริ่มจะลำบาก และเมื่อในที่สุดผมได้ข้ามเส้นชัย อย่างเช่นเมื่อคริส คาร์ไมเคิลเข้ามาหาผมที่ห้องพักในโรงแรม ผมถามเขาว่า “คุณมัวไปทำบ้าอยู่ที่ไหนน่ะ?” เขาถามย้อนกลับมาว่า “คุณหมายความว่ายังไงกันวะ? ก็อยู่ตรงนี้ตลอดล่ะ ตอนที่คุณข้ามเส้นชัยเข้ามาผมก็อยู่ตรงนั้นด้วย”
“จริงง่ะ?”
คืนนั้นตอนที่ดินเนอร์กัน ผมได้ขอโทษขอโพยต่อเพื่อนทั้งทีม ที่ตัวเองเกือบจะทำให้ความพยายามของเพื่อนๆต้องสูญเปล่าไปเสียแล้ว “ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วครับ” ผมสัญญา เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วก็นับว่ามันเป็นบทเรียนราคาแพงได้ เทือกเขาไม่เคยปราณีใคร ในชั่วโมงหรือแม้แต่นาทีอันเลวร้ายคุณก็อาจจะถูกมันปราบจนหมอบ
คำถามต่อมาก็คือ ผมจะสามารถฟื้นตัวได้หรือเปล่า? ผมจะกระปรกกระเปลี้ยแค่ไหนบนยอดเขา? มันก็เหมือนกับการขับรถยนต์ที่ไม่มีน้ำมันเครื่องนั่นแหละครับ ความเสียหายอันเกิดแก่ตัวผมจะทำให้ระบบขับเคลื่อนทั้งหมดต้องเสียหายไปด้วย มันทำลายได้ทั้งความฟิตที่ผมได้สร้างมาตั้งหลายเดือนจากการซ้อมอย่างหนัก บางครั้งนักจักรยานก็เจอปัญหาหนักเกี่ยวกับท้องไส้ของตัวเองได้อย่างที่ปานตานี่ ซึ่งเขาเป็นตะคริวและตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้นในสภาพที่ไม่สามารถจะแข่งได้แล้วก็ต้องออกจากการแข่งขันไป ถ้าหากผมไม่สามารถจะฟื้นตัวเองได้ ผมก็จะเจอเข้ากับความวายวอดอีกอย่างหนึ่ง แต่ผมก็โล่งใจที่คืนนั้นยังรู้สึกดีอยู่ และต้องการเพียงการนอนหลับยาวๆสักงีบหนึ่ง
ที่บ้าน คิคได้ดูเหตุการณ์ทั้งหมดทางทีวีและมันก็ตึงเครียดมาก เพราะเธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและผมต้องทรมานตัวเองแค่ไหน
ผมโทรกลับบ้าน “วันนี้เป็นวันที่ผมขี่ได้แย่เอามากๆเลยล่ะจ้ะ” ผมบอก “เกือบจะแพ้ตูร์ เดอ ฟร็องซ์แน่ะ”
คิคตอบว่า “แต่คุณก็ไม่ได้แพ้นี่คะ”
มันเป็นช่วงเวลาอันเต็มไปด้วยความสงสัยช่วงสุดท้ายของผม ที่เหลือต่อไปนี้ก็คือสเตจทางเรียบแต่ไม่ค่อยจะราบนักสู่ปารีส และเมื่อเรายิ่งเข้าไปใกล้เส้นชัย ในที่สุดผมก็ปล่อยให้ตัวเองยอมรับแล้วว่าคือผู้ชนะ แต่ผมก็ยังไม่พอใจเท่าไหร่นัก ผมต้องการจะชนะในสเตจที่ได้เคยหวังไว้แต่ว่าไม่ชนะ ผมยังติดใจกับมันอยู่
ในวันที่ 22 กรกฎาคม ผมได้กระทำในสิ่งที่ไม่เคยได้กระทำมาก่อน และในที่สุดก็ชนะในสเตจนั้น มันคือการแข่งขันจับเวลาไทม์ ไทรอัลประเภทบุคคลความยาว 57.6 กิโล แถบชายแดนฝรั่งเศสและเยอรมัน จากไฟรบูร์กถึงมูลูส ผมทุ่มสุดกำลังเท่าที่ผู้นำในเสื้อเหลืองจะทำได้ ผมต้องการจะทำให้เสื้อตัวนี้มันมีความหมายและเพื่อให้รู้สึกว่าเป็นผู้ชนะที่เด็ดขาด ผมเข้าเส้นชัยด้วยพลังหยาดหยดสุดท้าย ดวงตาแดงก่ำและน้ำลายไหลย้อยลงมาที่มุมปาก เมื่อมีคนบางคนถามคำถามกับผม ผมไม่สามารถจะตอบเขาเป็นภาษามนุษย์ได้ ผมเคลื่อนที่ไปตามทางที่เขาบอกให้เข้าไปเท่านั้น ผมสนใจแต่กับสิ่งที่ได้ทำไปแล้วนั่นคือผมชนะด้วยการทำเวลาเร็วสูงสุดเป็นครั้งที่สองในรอบ 87 ปีของประวัติศาสตร์การแข่งขันตูร์ฯ ด้วยเวลาหนึ่งชั่วโมง ห้านาที และหนึ่งวินาที โดยเฉลี่ยคือ 52.8กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในปารีส ธงเท็กซัสโบสะบัดอยู่หน้าโรงแรมโอเตล เดอ กริลญ็อง ระหว่างการขี่แข่งขันกันในรอบสุดท้าย ในที่สุดตอนนี้ผมก็ดื่มแชมเปญได้แล้ว แล้วก็จิบมันทั้งๆที่ขี่จักรยานอยู่นั่นเอง ผมข้ามเส้นชัยมาด้วยเวลารวมทั้งหมด 92 ชั่วโมง 33 นาที และ 8 วินาที ตลอดระยะทางทั้งสิ้น 3,632 กิโลเมตร เมื่ออยู่บนแท่น คิคก็ได้ยื่นลูกชายอายุเก้าเดือนให้ ผมยกตัวเขาชูขึ้น น้ำตาเต็มเบ้าตาทั้งสอง
อุลริคเป็นรองชนะเลิศที่น่ารักมาก เขาบอกว่า “อาร์มสตรองสมควรจะชนะแล้วครับ เขารับมือได้กับการโจมตีทุกรูปแบบของเรา“ ซึ่งเป็นคำพูดที่มีความหมายมาก นับจากความสงสัยของพวกนักจักรยานคนอื่นๆที่เคยบอกเอาไว้ว่าผมไม่สามารถกลับมาเป็นแชมป็ได้อีก คุณเอาทีมนักปั่นทั้งทีมที่เขาคิดว่าเขาจะชนะตูร์ เดอ ฟร็องซ์แล้วก็โค่นผมได้มาเล่นกับผม แล้วไง พวกเขาก็อยู่ที่นี่แล้วเดี๋ยวนี้ ผมคิด แต่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแก้แค้นอีกต่อไปแล้ว ผมปล่อยโอกาสจะแก้แค้นให้หลุดลอยไปแล้วที่จูซ์-ปลาน มันย่อมมีอยู่สักครั้งหนึ่งล่ะในทุกๆการแข่งขัน เมื่อผู้เข้าแข่งขันได้เจอเข้ากับคู่แข่งตัวจริงของตน แล้วก็ได้รู้ว่าที่แท้มันก็คือตัวของเขานั่นเอง
ในคืนนั้นเราเลี้ยงดินเนอร์ฉลองชัยชนะกันที่มูเซ่ ดอร์เซย์ในหองเลี้ยงบอลรูมพิเศษซึ่งมีภาพวาดที่เพดานด้วย มีคนไปร่วมงานกันที่นั่นหลายร้อย รวมทั้งอีก 80 คนที่ได้บินตรงมาจากเมืองออสติน สุดท้ายผมก็ลุกขึ้นพูดกับเพื่อนร่วมทีมทั้งหมด ผมแจ้งว่าเหตุผลที่เรากำลังฉลองกันอยู่นี้ก็เพราะว่าเราทำงานหนักกว่าใครๆทั้งนั้น และผลของมันก็คือเราไม่ได้ชนะแบบฟลุคๆอีกต่อไป เราคือแชมเปี้ยนแล้ว “ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเรารู้ว่าจะทำยังไงกันแล้วนะ เราได้เรียนรู้ที่จะทำมัน และตอนนี้เราก็จะทำมันอีกครั้ง และอีกครั้ง”
ผมไม่ได้คิดอีกต่อไปแล้วว่าอาชีพการขี่จักรยานแข่งขันมันไม่ใช่การกลับมาแค่ครั้งเดียว ผมมองว่ามันเป็นการยืนยันและเป็นความต่อเนื่องของสิ่งที่ผมได้ทำไปแล้วเมื่อรอดจากมะเร็ง แต่ในการได้ชนะอีกครั้งนี้ผมได้ค้นพบแล้วอย่างอิ่มเอม ไม่มีประสบการณ์สองครั้งใดๆจะเหมือนกัน แต่ละครั้งก็เหมือนกับลายนิ้วมือของเรา มันสวยงามและโดดเด่น
มันแตกต่างกันอย่างไรน่ะหรือ? ผมทรมานมากกว่าในการชนะตูร์ฯเป็นครั้งที่สอง พบกับการทรมานร่างกายมากขึ้น ผมสามารถบอกได้เลยจากความบางของคอตัวเอง และด้วยภาพที่ทั้งซี่โครงและปีกแขนมันยื่นออกมาจากเสื้อ แต่ยิ่งทรมาน มันก็ยิ่งปลื้มปิติมากขึ้น
ความทรมาน ผมเริ่มที่จะคิดแล้วว่าที่จริงมันก็จำเป็นอยู่นะสำหรับชีวิตที่ดี และมันก็หายไปจากชีวิตได้อย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้า มันคือตัวกระตุ้นอันยอดเยี่ยม มันอาจจะอยู่ได้เป็นนาทีหรือเป็นเดือน แต่ในที่สุดมันก็จะจางหายไป และเมื่อมันเป็นเช่นนั้น บางอย่างก็เข้ามาแทนที่ และบางทีสิ่งนั้นอาจจะเป็นความว่างเปล่า
สำหรับความสุขนั้น ในแต่ละครั้งที่ผมเผชิญกับความทุกข์ทรมาน ผมก็มีความเชื่อว่าตัวเองได้เติบโตขึ้นและได้รู้ถึงขีดความสามารถของตัวเองมากขึ้น ไม่เพียงแต่ความสามารถทางร่างกายเท่านั้น แต่เป็นความสามารถทางจิตใจด้วย สำหรับการเอาตัวรอด,มิตรภาพและทุกๆอย่างเท่าที่มนุษย์จะประสพได้
รางวัลที่แท้จริงซึ่งความเจ็บปวดได้มอบให้ก็คือการได้รู้จักตัวเอง ถ้าผมยอมแพ้ ผมก็จะต้องยอมแพ้ตลอดไป การยอมแพ้นั้น แม้แต่การกระทำเพียงนิดเดียวให้รู้ว่ากำลังจะไม่ไหว มันก็อาจจะติดอยู่กับผมไปได้ตลอด เมื่อคุณรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ไหวแล้ว คุณก็ต้องถามตัวเองแล้วล่ะว่าคุณอยากจะอยู่กับอะไรมากกว่า
หลั่งจากการแข่งขันจบลง มีคนบางคนได้มอบรูปให้กับบาร์ทรูปหนึ่ง มันเป็นรูปของผมซึ่งทั้งหน้าซีดและเหมือนกำลังคลุ้มคลั่งในการไต่เขาที่จูซ์-ปลาน ในฉากหลังคือบาร์ทที่กำลังวิ่งเคียงข้างไปเพื่อกระตุ้นให้ผมไปต่อ ที่อยู่ข้างหลังบาร์ทก็คือผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนกับปีศาจ อันเป็นหนึ่งในตัวละครหนึ่งที่คอยหลอกหลอนอยู่ข้างทางในตูร์ฯและสร้างบรรยากาศรื่นเริงได้มาก มันเหมือนกับว่าเป็นการแสดงความหมายของทางเลือกสองทาง ถ้าไม่ขี่ต่อไป ก็ต้องเลิกแข่งไปเลย
สำหรับผมแล้วรูปที่ยากจะลืมเลือนคือรูปของบาร์ท เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนผู้ซึ่งอยู่ที่นั่นกับคุณในวันอันแสนจะเลวร้าย เป็นวันที่เลวร้ายที่สุด ไม่ใช่วันแห่งชัยชนะ วันนั้นแหละคือวันที่เลวร้ายที่สุดของผม เพื่อนที่แสนดีคนหนึ่งได้อยู่ที่นั่น ข้างหลังผม วิ่งด้วยเท้า ตะโกนใส่ผมเพื่อให้คืบหน้าต่อไป บางทีชัยชนะที่แท้จริงมันอาจจะเป็นการที่มีเพื่อนประเภทเดียวกันอยู่ล้อมรอบผมก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ผมต้องนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล หรือวันที่ผมเกือบจะแพ้การแข่งขันไปแล้วอย่างนี้
บาร์ทเซ็นชื่อของเขาลงในรูปนั้นแล้วมอบมันให้ผม “แลนซ์ เราได้ไปไหนๆด้วยกันมามากแล้วนะ แต่ขออย่าให้กลับไปที่เก่าอีกเลย โอเคมั้ย?” เขาเขียนไว้อย่างนั้น
ผมเอารูปนี้ไปใส่กรอบแล้วแขวนมันไว้ข้างฝาผนัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น