Exercise, Exercise, Exercise
วิธีที่ claim กันว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้นั้นมีอยู่มากมายหลายวิธี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าได้ผลอย่างแน่นอนทั้งสิ้น แต่ทุกวันนี้วิธีเดียวที่วงการ Brain Science รู้ว่าได้ผลอย่างแน่นอน เพราะมีการวิจัยชิ้นแล้วชิ้นเล่ารองรับ และให้ผลที่สอดคล้องกันมากที่สุด คือ การออกกำลังกายเป็นประจำ 1 สมองของคนเราชอบการออกกำลังกายทางร่างกาย (แปลกดีมั้ยครับ)
หนึ่งในการวิจัยเหล่านั้นพบว่า คนที่มีวิถีชีวิตแบบนั่งอยู่กับที่แทบทั้งวันหากจับมาออกกำลังกายแบบแอโรบิก เป็นประจำอย่างน้อยสี่เดือนจะทำให้ความสามารถของสมองเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แทบทุกด้าน (เช่น ความจำระยะยาว การใช้ตรรก การจดจ่อ การแก้ปัญหา ไหวพริบ การคิดเชิงนามธรรม ฯลฯ แต่ยกเว้นพวกทักษะเกี่ยวกับความจำระยะสั้น เช่น การให้จดจำอะไรจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ที่ไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย) เป็นต้น ผลการวิจัยอื่นๆ อีกมากหมายหลายชิ้นก็ให้บทสรุปในทำนองเดียวกัน นอกจากนี้ ยังพบว่า คนที่เข้าสู่วัยชราโดยที่มี mental alertness สูงกว่าคนชราโดยทั่วไป มักเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำเมื่อครั้งยังหนุ่มอยู่
ยังไม่เป็นทราบแน่ชัดว่าเหตุใด การออกกำลังกายจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้ แต่เชื่อกันว่า การออกกำลังกายช่วยให้น้ำตาลและอ็อกซิเจนเข้าสู่สมองมากขึ้นซึ่งจะช่วยขจัด toxin ที่ตกค้างอยู่ในเซลล์ประสาท และกระตุ้นการทำงานของโปรตีนที่คอยเชื่อมเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์เข้าด้วยกัน เป็นไปได้ว่า สมองของเราถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีในขณะที่เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ยุคหินทำเป็นประจำแต่ขาดหายไปในวิถีชีวิตยุคปัจจุบัน (มนุษย์ในยุคหินต้องเดินเฉลี่ยวันละ 10-12 ไมล์ เพื่อหาอาหาร)
การออกกำลังกายที่จะส่งผลดีต่อสมองมากที่สุดต้องเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคเท่านั้น(เช่น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิค) โดยทำวันละ 30 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์
Brain Training
ไอคิวของคนเรานั้นไม่ได้ขึ้นกับจำนวนเซลล์สมองหรือขนาดของสมองแต่อย่างใด และหลังจากที่เราเกิดมาได้ไม่นานเซลล์สมองของเราจะแทบไม่เพิ่มจำนวนขึ้นอีก เลยตลอดชีวิต ในขณะที่ส่วนหนึ่งจะค่อยๆ ตายไปเรื่อยๆ เมื่อเราเข้าสู่วัยกลางคนด้วย การที่เราสามารถคิดอะไรที่ซับซ้อนได้มากขึ้นเมื่อเติบโตเป็นเพราะเซลล์สมอง ที่มีอยู่เท่าเดิมของเรามีการเชื่อมโยงกันในลักษณะที่ซับซ้อนมากขึ้น เรื่อยๆ ซึ่งเกิดจากการที่เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ (เมื่อเราต้องจำอะไรสัก อย่างหนึ่ง เซลล์สมองจำนวนหนึ่งจะถูกอุทิศให้กับความจำเรื่องนั้นด้วยการปรับเปลี่ยนรูป แบบการเรียงตัวของมันใหม่ และหากความจำส่วนนั้นไม่ได้ใช้งานนานจนลืม เซลล์สมองเหล่านั้นก็สามารถถูกนำไปอุทิศให้กับความจำเรื่องใหม่ๆ หรือการทำงานในรูปแบบอื่นของสมองได้อีกด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เซลล์สมองที่มีจำนวนจำกัดของเราเป็นเสมือนของกลางที่สามารถถูกนำไปใช้ทำอะไร ก็ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนการเรียงตัวของมันใหม่เท่านั้น)
ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่า เรายังสามารถเพิ่มหรือดำรงประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้อยู่เสมอไม่ว่าเรา จะอายุเท่าไรแล้วก็ตาม โดยการฝึกให้สมองของเราให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา สมองของเราชอบสิ่งใหม่ๆ ดังนั้นวิธีฝึกสมองที่ดีที่สุดคือให้เรียนรู้สิ่ง ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน หรือเป็นเรื่องเดียวกันแต่ยากขึ้นเรื่อยๆ การนั่งเล่น sudoku ที่ระดับความยากเท่าเดิมติดต่อกัน 100 เกมนั้นได้ผลน้อยกว่าการเพิ่มระดับความยากขึ้นเรื่อยๆ หรือเปลี่ยนไปเล่นเกมอย่างอื่นบ้าง นักดนตรีระดับอัจฉริยะที่เล่นดนตรีมาตลอดชีวิต สมองของเขาอาจไม่ค่อยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการซ้อมดนตรีอีกต่อ ไป พวกเขาควรฝึกสมองด้วยกิจกรรมอย่างอื่น เช่น การสมัครเรียนบัญชีเบื้องต้น หรือเรียนรู้ภาษาใหม่แทน พยายามป้อนสมองของคุณด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย จะได้ผลมากที่สุดครับ 2
Brain Foods
แต่วิธีที่ดูเหมือนจะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันมากที่สุดเห็นจะ ได้แก่ การกินสารอาหารบางอย่าง เช่น โอเมก้า 3 สาร anti-oxidants ต่างๆ (เช่น บลูเบอรี่ ลูกพรุน ไวน์แดง ชาดำ เป็นต้น) โสม วิตามิน C วิตามิน E หรือ ขมิ้นชันและกาเฟอีนที่กล่าวว่าป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ เป็นต้น ที่จริงแล้ว ปัจจุบันยังไม่เคยมีงานวิจัยชิ้นใดเลยแม้แต่ชิ้นเดียวที่ยืนยันได้อย่าง ชัดเจนว่า สารอาหารเหล่านี้มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองมนุษย์จริง 3 มีก็แต่เพียงผลการวิจัยที่พบว่าเกิดผลบางอย่างขึ้นกับสมองของสัตว์ทดลอง หรือมิฉะนั้นก็เป็นการวิจัยกับมนุษย์ที่ยังให้ผลบางอย่างที่ยังไม่แน่ชัด เรื่องอาหารเสริมจึงยังเป็นเพียงแค่ความเป็นไปได้เท่านั้นว่า “อาจ” สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้
ที่จริงแล้ว ต่อให้สารอาหารเหล่านี้ใช้ได้ผลจริงแต่การรับประทานสารอาหารเหล่านี้เข้าไป ก็อาจไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เลย เพราะสมองมนุษย์เป็นอวัยวะที่มี Blood-brain Barrier กล่าว คือ เซลล์ของเส้นเลือดที่อยู่ในสมองมีการเรียงตัวที่ชิดกันมากเพื่อป้องกันมิให้ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ หลุดรอดเข้าไปในสมองได้ จึงทำให้ยากที่สารอาหารเหล่านี้ที่เรากินเข้าไปเหล่านี้จะสามารถหลุดรอดเข้า ไปถึงสมองได้ แม้แต่วิตามิน E เองก็ยังผ่าน เข้าไปไม่ได้เลย 4
นอกจากวิธีทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีวิธีการอื่นเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายอย่างที่มีผลการวิจัยรองรับว่าอาจมีประโยชน์ เช่น การงีบหลับตอนบ่ายไม่เกินวันละ 20 นาทีเป็นประจำจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองได้ หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับคน อื่นอยู่เสมอเป็นประจำจนกระทั้งเข้าสู่วัยชรา จะช่วยลดโอกาสที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมได้ หรือความเครียดที่มีลักษณะเรื้อรังส่งผลให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโซลที่ ทำลายเซลล์ต่อมใต้สมอง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความจำและความสามารถในการเรียนรู้ได้ เป็นต้น แต่สรุปแล้ว ผมว่าการออกกำลังกายเป็นประจำและพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เป็นสองสิ่งที่คุณน่าจะลงทุนเพื่อสมองของคุณมากที่สุดครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น